แปลโดย เถาธรรม
จาก Lots of Ways to Impact Politics (adapted from Chapter 13 of The Scandal of Evangelical Politics, just out from Baker Books).โดย Ron Sider เผยแพร่ทางจดหมายอธิษฐานขององค์กร Micah Challenge.
บทความจาก นิตยสารพระคริสตธรรมประทีป
จากผู้แปล …
เมื่อประเทศไทยมาถึงจุดสับสน คนที่เคยเชื่อว่าประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญเป็นทางที่จะก่อเกิดการเมืองอันชอบธรรมและเอื้อประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง อาจกำลังมีคำถามมากมาย และสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติบัดนี้มีคู่แข่งเป็นมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ม๊อบสีต่างๆ คริสเตียนเราจะทำอย่างไรดี นี่เป็นสิ่งที่เราต้องตอบสำหรับคนรุ่นเราและสำหรับลูกหลานในอนาคต จึงขอน้อมกำนัลบทความนี้มาแด่พี่น้องในพระคริสต์ด้วยความเคารพ …
ช่วงนี้เป็นฤดูกาลแห่งการเมืองในอเมริกา (ขณะที่กำลังเขียนบทความ) ผมหวังว่าคุณคงจะมีส่วนร่วม เพราะแท้ที่จริง แนวทางหนึ่งที่เราจะรักเพื่อนบ้านก็คือช่วยกำหนดรูปการตัดสินใจทางการเมืองที่จะช่วยหรือไม่ก็ทำร้ายพวกเขา แต่การเข้าใจแนวทางต่างๆ มากมายที่เราจะกำหนดรูปของการเมืองได้ นี่เป็นเรื่องไกลไปกว่าเพียงแค่ออกเสียงให้ผู้สมัครเข้ารับเลือกเป็นประธานาธิบดี
เก้าแนวทางที่จะมีบทบาททางการเมือง
เพียงเป็นคริสตจักร แนวทางแรกที่คริสเตียนควรส่งอิทธิพลต่อการเมืองก็คือการเป็นแบบฉบับอันมีชีวิตอยู่ของอาณาจักรของพระเยซูซึ่งกำลังรุ่งราง ทอม สกินเนอร์เคยกล่าวไว้ว่า คริสตจักรควรเป็นภาพเล็กๆ ที่ฉายให้เห็นว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร เมื่อคริสตจักรเพียงแต่ดำเนินชีวิตเป็นแบบฉบับของการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคม ชาติพันธุ์ เศรษฐกิจ คริสตจักรก็จะส่งอิทธิพลต่อสังคมอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
อธิษฐาน ครั้งหนึ่ง คาร์ล บาร์ธ เคยกล่าวว่าคำอธิษฐานของคริสตจักรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งคริสตจักรทำประโยชน์ให้สังคม พระคัมภีร์เรียกร้องให้เราอธิษฐานเพื่อผู้นำทางการเมืองของเรา
กำหนดรูปวัฒนธรรม สมมุติฐานกว้างๆ ทางวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดอันสำคัญยิ่ง ว่าอะไรเป็นไปได้บ้างในทางการเมือง ว่ากันว่าอับราฮัม ลินคอล์นบอกผู้รับใช้พระเจ้าในสมัยของเขาว่า “คริสตจักรกำหนดขอบเขต การเมืองแสดงบทบาทได้แต่ในขอบเขตนั้น” คริสเตียนช่วยกำหนดเกณฑ์ทางวัฒนธรรมในสังคม เริ่มแรกก็กำหนดโดยชีวิตร่วมกันในคริสตจักร จากนั้นก็ทำโดยความคิด ข้อเขียน และศิลปหัตถกรรมของพวกเขา
อบรมสั่งสอนให้สมาชิกคริสตจักรมีความคิดทางการเมืองอย่างมีปัญญาและถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ถ้าหากผู้นำคริสตจักรไม่ช่วยให้คนของตนพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตทางการเมืองในแนวทางที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์อย่างคนที่มีความรู้และข้อมูล สมาชิกคริสตจักรก็จะเพียงแต่ยืมค่านิยมทางการเมืองจากแหล่งข้อมูลฝ่ายโลก เป็นเรื่องสำคัญที่ศิษยาภิบาลและผู้นำนิกายต่างๆ จะต้องพัฒนาโปรแกรมและสื่อการสอนดีเลิศขึ้นอย่างระมัดระวัง เพื่อช่วยสมาชิกของพวกเขาทุกคนให้รับเอาวิธีการอันสัตย์ซื่อสำหรับการเมืองและวาระที่สมดุลถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งนี่รวมถึงคำเทศนา ชั้นเรียนรวีวารศึกษา และกลุ่มศึกษา วางฐานทางพระคัมภีร์สำหรับความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและชาติพันธุ์ และสอนให้เคารพศักดิ์ศรีและความศักดิ์สิทธิของชีวิตมนุษย์ พูดสั้นๆ ก็คือองค์ประกอบทุกอย่างของวาระอันสมดุลของพระคัมภีร์
นี่ไม่ได้หมายความว่า ศิษยาภิบาลหรือผู้นำนิกายควรส่งเสริมข้อเสนอใดๆ ทางการเมือง หรือผู้สมัครคนหนึ่งคนใด แต่ผู้นำคริสตจักรควรช่วยสมาชิกพัฒนาแนวทางที่สัตย์ซื่อในการเมือง พวกเขาควรจัดชุมชนคริสเตียน ซึ่งสภาพภายในชุมชนนั้น สมาชิกคริสตจักรที่มีทัศนะทางการเมืองหลากหลายเรียนรู้ว่าจะสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างไร อย่างมีมารยาท ซื่อตรง และถ่อมตน พวกเขาควรหนุนใจสมาชิกทุกคนให้มีส่วนอย่างแข็งขันในการเมือง และประคับประคองสมาชิกบางคนที่อุทิศชีวิตเต็มเวลาแก่การเมือง
คำประกาศอย่างเป็นทางการของคริสตจักร ผู้นำคริสตจักรไม่กล้าประกาศจุดยืนทางการเมืองในนามของคริสตจักรเมื่อพวกเขากล่าวตามความคิดของตนเอง แต่สถานการณ์ต่างไปมากทีเดียวเมื่อคริสตจักรหรือนิกายได้ดำเนินการอย่างรอบคอบเป็นขั้นตอนเพื่อกำหนดจุดยืนของคริสตจักรหรือนิกายในประเด็นทางการเมืองประการใดประการหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ควรผลีผลามทำ และไม่ควรทำบ่อยๆ แต่การทำบ้างบางครั้งบางคราวก็เป็นเรื่องสำคัญและถูกต้อง เมื่อขั้นตอนเหล่านี้ทำให้เกิดคำประกาศที่ได้รับการมอบอำนาจอย่างเหมาะสม เมื่อนั้นผู้นำคริสตจักรก็พูดกับผู้นำทางการเมืองในนามของคริสตจักรของตนได้อย่างถูกต้อง (ตัวอย่างเช่น บิชอปคาทอลิกในสหรัฐทำได้อย่างมีประสิทธิผลในทศวรรษ 1980 โดยเขียนจดหมายของศิษยาภิบาลเกี่ยวกับสันติภาพและความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ) ถ้าทำได้ดี คำประกาศอย่างเป็นทางการของคริสตจักรอาจก่อผลกระทบต่อการเมืองอย่างสำคัญได้
ให้การศึกษาแก่สาธารณชนเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่เจาะจงบางประเด็น ในการให้การศึกษาทางการเมือง เรามุ่งให้ข้อมูลกลุ่มประชาชน (ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกคริสตจักรหรือกลุ่มอื่นๆ) เกี่ยวกับประเด็นที่เจาะจง ว่าเหตุใดจึงต้องแสดงจุดยืนนั้นๆ สภาพการถกเถียงทางการเมืองในประเด็นนั้นที่กำลังดำเนินอยู่ และจะส่งแรงกระทบให้เกิดผลอย่างไรจึงดีที่สุด คริสเตียนอาจทำสิ่งเหล่านี้ผ่านแผนกกิจการสังคมของนิกาย ผ่านองค์กรคริสเตียนที่เน้นเรื่องการให้การศึกษาด้านการเมือง หรือเครือข่ายฝ่ายโลกที่ทำงานด้านนโยบายสาธารณะ
ล็อบบี้ผู้มีตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้ง นี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่องค์กรกิจการสังคมของนิกายจะทำได้ต่อเมื่อโครงสร้างของนิกายมีกระบวนการชัดเจนและได้ให้สิทธิอย่างเป็นรูปธรรมให้พูดในนามของนิกาย อย่างไรก็ตาม องค์กรคริสเตียน (และแน่นอนเอเย่นต์ฝ่ายโลกที่ทำงานล็อบบี้) สามารถล็อบบี้นักการเมืองได้ดีกว่าโดยไม่ทำให้คริสตจักรต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ส่งเสริมผู้สมัครรับการเลือกตั้งอย่างเจาะจง ในสหรัฐอเมริกา กฎหมายบ้านเมืองห้ามคริสตจักรและหน่วยงานของคริสตจักรสนับสนุนผู้สมัครรับการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ ตามปกติ ผู้นำคริสตจักรควรช่วยให้การศึกษาสมาชิกของตนเกี่ยวกับวิธีคิดและแสดงบทบาทสาธารณะ จากนั้นก็ส่งเสริมให้สมาชิกแต่ละบุคคลอธิษฐานใคร่ครวญแล้วตัดสินใจเองว่าจะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใด
ลงสมัครรับเลือกตั้งสู่ตำแหน่งทางการเมือง คริสตจักรควรส่งเสริมให้สมาชิกผู้สนใจและมีของประทานสมัครรับเลือกตั้งสู่ตำแหน่งการเมือง ผู้นำคริสตจักรที่มีใจห่วงใยและสมาชิกคนอื่นควรช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งคริสเตียน (และคริสเตียนที่ได้รับเลือกตั้ง) ให้พัฒนาเวทีอันสะท้อนวาระอันสมดุลตามหลักพระคัมภีร์ ให้เขาคิดและพูดอย่างซื่อตรง และให้รักษาความสัตย์สุจริตในชีวิตสาธารณะ เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างอันทรงประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เป็นโครงสร้างสำหรับกระบวนการที่เปี่ยมด้วยความรักและเข้มงวดทั้งในการสนับสนุนส่วนบุคคลและความรับผิดชอบอย่างจริงแท้สำหรับคริสเตียนที่รับการทรงเรียกอันยากยิ่งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยไม่ต้องให้การรับรองสมาชิกคริสตจักรที่น่าเคารพซึ่งสมัครรับเลือกตั้งต่อสาธารณะ คริสตจักรสามารถอธิษฐานเผื่อและให้คำแนะนำเป็นส่วนตัว และให้โครงสร้างที่ผู้สมัครคนนั้นต้องรับผิดชอบต่อคริสตจักรและสังคม
ในฤดูการเลือกตั้งนี้ จงทูลถามพระเจ้าว่า พระองค์ทรงประสงค์ให้คุณช่วยปั้นแต่งการเมืองโดยวิธีใด
ทิ้งท้ายจากผู้แปล …
ในช่วงของวิกฤติศรัทธาและความสับสน เราจะไม่ทูลถามพระเจ้าหรือว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้เราปั้นแต่งการเมืองไทยอย่างไร?