โดย ปีเตอร์ ปัญญาชน
หนังสือพิมพ์แบ่งปันความรัก
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนโกหก … ตั้งแต่เจนนี่เรียนจบสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้านศิลปะ (Art Center) ที่เมืองพาซาดีนา แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงดีเด่นแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ในสาขาสถาปนิกฯ จากนั้นก็ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างเลย ชีวิตก็มีแต่งานและงาน … เธอเป็นคนไทยที่ตามพ่อแม่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุเพียงสามขวบเท่านั้น … เติบโตมาท่ามกลางวัฒนธรรมอเมริกันที่ทำให้เธอกล้า แกร่ง เดินตามรอยอเมริกันดรีมเหมือนคนอื่นๆ
ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ชื่อเสียงเรียงนามก็นับว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศทีเดียว บางปีก็ต้องยุ่งอยู่กับการออกแบบรถยนตร์กับทีมงาน เพื่อนำออกแสดงในงานโชว์แบบรถ โดยมีผู้ผลิตรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสนใจบินมาชมเลือกซื้อแบบใหม่ ๆ สำหรับรถยนต์สำหรับปีถัดไป หรือบางครั้งก็เป็นเครื่องใช้ไม้สอยภายในของรถ ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ไหม่ ๆ สำหรับผู้ที่มีรสนิยมในงานศิลปะ
นอกจากนั้นยังมีรายการเปิดนิทรรศการ การแสดงผลงานด้านศิลปของเธออีกหลาย ๆ งานในแต่ละปี ดังนั้นก็ต้องยอมรับว่า เธอเป็นดาวเด่นในวงการออกแบบรถยนต์และภาพถ่ายตลอดจนจิตรกรรมเทคนิคสีน้ำมันบนผืนผ้าใบและอื่น ๆ อีกมากมาย …
“เจนนี่ … เธอซื้อดอกกุหลาบหรือยัง?” นิสาเพื่อนซี้เอ่ยถามขึ้น
“ทำไมเหรอ”
“อ้าว เธอไม่รู้หรือว่าวันนี้ วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นวันแม่ของอเมริกา”
เจนนี่นิ่งเงียบไปสักครู่แล้วตอบเสียงเรียบๆ
“อืมม … ฉันไม่มีแม่ พ่อก็จากไปเช่นกันหลังแม่เพียงปีเดียวเอง”
“ขอโทษ … ฉันเสียใจด้วยนะ”
เนื่องจากวันที่ 10 ตรงกับวันอาทิตย์พอดี เจนนี้ถูกเพื่อนชักชวนเซ้าซี้ให้ไปร่วมงานวันแม่ที่โบสถ์ไทยแห่งหนึ่ง ไปดูหลานสาวของเพื่อนร่วมร้องเพลงในคืนนี้ด้วย …
บรรยากาศคืนนี้เต็มไปด้วยความรัก … มีการแสดงละคร เทศนา มีการละเล่นพื้นบ้านแบบไทยๆ มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กับแม่ ๆ ทั้งหลาย เสียงเพลงของเด็ก ๆ และเพลงประสานเสียงอันไพเราะซาบซึ่งของกลุ่มนักร้องของคริสตจักร ทำให้บรรยากาศงานฉลองวันแม่เป็นไปด้วยความรู้สึกที่บอกถูกสำหรับเธอ …
เจนนี่รู้สึกมีน้ำอุ่น ๆ เอ่อคลอเบ้าตา เธอพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลล้นออกมาอาบแก้ม แต่ … ในที่สุดไม่ทราบจะทำอย่างไร เธอถึงกับต้องร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็ก ๆ คุณป้าที่นั่งติด ๆ กันได้ยื่นกระดาษทิชชู่ยื่นมาให้ซับน้ำตา พร้อมกับเอามือโอบไหล่ของเธอไว้ … ตบเบา ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ …
เธอหันไปขอบคุณป้าคนนั้น … เพราะเธอรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดกับการสัมผัสของป้าบนไหล่ของเธอ ชนิดเธอไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต ในที่สุดเธอกลั้นไม่ไหวแล้วอีกต่อไป … เธอหันไปร้องไห้ซบหน้าลงบนไหล่ของป้าพร้อมกับกอดป้าไว้แน่น ป้าคนนั้นโอบเธอไว้อย่างเมตตาพร้อมกับเอามือบีบไหล่อีกข้างของเธอเบา ๆ … เธอรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทุกอณูของร่างกายและจิตใจ อบอุ่นเหลือเกิน … ป้าก็ใจดีกับเธอราวกับลูกสาวของเธอทีเดียว ลูบผมของเธอไปมาพร้อมกับโอบกอดเธอไว้พร้อมกับปลอบเธอเบา ๆ ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจภาษาไทยดีนัก แต่ก็รู้ว่าป้ารักเธอปลอบเธอราวกับเด็กๆ …
หลังจากนั้นไม่นาน เธอเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นที่โบสถ์ เธอได้สัมผัสความรักความอบอุ่นที่แปลกประหลาดมาก เธอไม่เคยพบมาก่อนและเล่าต่อไปว่า …
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เพราะคิดถึงแต่เรื่องของแม่และพ่อ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าฉันเป็นใคร ตัวตนที่แท้จริงและรากเหง้าของฉันเป็นมาอย่างไร อยู่ที่ไหนบ้าง ตลอดเวลาที่เติบโตมาฉันไม่เคยมีความรู้สึกดี ๆ กับพ่อแม่เลย …
… ตั้งแต่จำความได้ พ่อแม่ทำงานหนักมาก แม่เป็นพนักงานเก็บของเรียงสินค้าเข้าชั้นวางในตลาดแห่งหนึ่งใกล้ ๆ บ้าน ส่วนพ่อนั้นก็ต้องเดินทางบ่อย ๆ บางครั้งก็อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ครอบครัวเรามีด้วยกันห้าคน ฉันมีพี่ชายอีกสองคนอายุอานามก็ไล่ๆกัน
แม่หรือพ่อ … มักจะขับกระบะรถเก่า ๆ คันหนึ่งมาส่งฉันที่โรงเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ จนถึงฉันเข้าเรียนคอลเลจและมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกไม่ชอบและเกลียดที่พ่อไม่ยอมให้ฉันไปไหน ถึงแม้ฉันบอกพ่อว่าฉันโตแล้วอยากไปกลับโรงเรียนเอง หรือบางครั้งจะไปบ้านเพื่อนพ่อก็ต้องขับรถไปส่งไปรับที่บ้านเพื่อนจนได้ …
อีกอย่างพ่อเป็นคนหัวโบราณและยังยึดมั่นในประเพณีไทยอย่างมากและไม่ค่อยชอบพูด และเท่าที่จำได้ พ่อไม่เคยบอก … ไม่เคยพูดว่า “พ่อรักลูก” หรือ “I love you” เหมือนคนอื่น ๆ ที่ฉันรู้จัก แม้แต่จะกอดฉันสักครั้ง (Hug) ก็ไม่เคย … ฉันไม่เข้าใจข้อนี้อย่างมาก แต่ … พ่อก็หวงห่วงฉันเหลือเกิน ขนาดฉันเข้าเรียนวิทยาลัยแล้ว พ่อยังไม่ยอมซื้อรถให้ จำได้เสมอว่า พ่อจะขับรถมาส่งทุกวัน เวลากลับพ่อก็จะขับรถมารอรับหน้าโรงเรียนก่อนเวลาเสมอ บางครั้งฉันมีงานค้างต้องอยู่จนดึก พอกลับออกมา … เห็นพ่อยังนั่งรออยู่ … ท่ามกลางความหนาวในรถโดยไม่ได้บ่นแม้แต่คำเดียว …
ส่วนแม่นั้น … แม่เป็นคนขยันขันแข็งมาก ทำโน่นทำนี่โดยไม่หยุดหย่อน กลับจากงานประจำก็ทำขนมไทยไปขายที่ร้านตลาดไทยอีก …
วันหนึ่ง ฉันเห็นแม่อยู่คนเดียวท่ามกลางกองใบทวงหนี้บนโต๊ะ เห็นแม่ … หยิบใบโน้นใบนี้พลิกมาพลิกไป แล้วก็หยุดเหม่อมองออกไปทางหน้าต่าง … ฉันเข้าใจว่าแม่คงไม่มีตังค์พอที่จ่ายบิลล์ได้หมด ฉันได้แต่สงสารแม่จริงๆในขณะนั้น …
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ฉันอดคิดถึงไม่ได้ คือในงานวันที่ฉันต้องไปรับรางวัลชนะเลิศในการวาดภาพของท่านประธานาธิบดี Ronald Reagan ที่ Beverly Hill ถิ่นดาราคนร่ำรวยเรียกว่าไฮโซเลยทีเดียว งานมีขึ้นที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง แม่ขับรถกระบะเก่า ๆ คู่ชีพไปส่งฉัน ปรากฎว่าคนที่รับรถไม่ยอมให้เข้าบริเวณโรงแรมแถมไม่ให้จอดอีกต่างหาก เราต้องรีบขับรถออกไปจอดไกลหน่อยแล้วแม่ปล่อยให้ฉันเดินไปรับรางวัลเพียงคนเดียว … คิดไปแล้ว น่าเศร้าเหลือเกิน ทำไมคนเราถึงได้มองคนแต่เพียงภายนอก ตอนนั้นฉันยังเด็กมากเลยรู้สึกไม่ดีกับแม่เหมือนกัน ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนรถสักที เบื่อจริง ๆ รถคันนี้
เมื่อฉันเรียนจบได้งานทำแล้วก็ย้ายออกจากบ้านไปอยู่บ้านของตัวเอง วันนั้นแม่ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่แม่ทำตาแดง ๆ มีน้ำตาคลอเหมือนกัน ฉันก็บอกแม่ไปว่า … ที่นี่เวลาเด็กอายุครบ 18 ปีก็ถือว่าโตแล้ว ต้องไปหาที่พักหรือสร้างรังเอง ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมีความรับผิดชอบตัวเองได้ ส่วนพี่ชายอีกสองคนก็ย้ายออกไปอยู่เองตั้งนานแล้วก่อนหน้าฉัน ตกลงแม่ต้องอยู่สองคนกับพ่อเหมือนครอบครัวอเมริกันทั่วไป
…. ฉันตกใจตื่น … หลังจากงีบไปนิดหน่อยหลังจากต้องคิดทบทวนเรื่องเก่า ๆ ทั้งคืน ฉันบอกตัวเอง ฉันต้องการรู้ว่าฉันเป็นใครมาจากไหน อยากรู้รากเหง้าที่แท้จริงของฉัน … เสียดายเวลาที่ตอนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เคยสนใจหรือถามท่านใดเลยสักครั้งเดียว … เฮ้อ … เรานี่แย่จริง ๆ
ก่อนที่ฉันจะออกไปทำงาน ฉันตัดสินใจในนาทีนั้นว่าฉันจะต้องไปหาที่มาของฉัน หารากเหง้าที่แท้จริงที่เมืองไทย ฉันอยากพบอยากรู้ว่าบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อแม่และฉันนั้นเป็นอย่างไร เพราะเกิดมาเกือบสามสิบปีแล้วยังไม่เคยไปเห็นเมืองไทยเลยสักครั้งเดียว
สามเดือนเต็ม ๆ ที่ฉันตะลุยไปเกือบทั่วเมืองไทยโดยมีเป้ใบเดียวพร้อมกล้องอีกหนึ่ง ไม่ว่าเหนือใต้ออกตกเกือบทุกเมือง ฉันพบว่าฉันมีญาติเยอะ ๆ จริง ๆ เป็นร้อยทีเดียว เรามีความสุขมาก ฉันค้นหาภาพและของเก่า ๆ ของปู่ย่าตายายและถิ่นอาศัยของพ่อแม่เคยอยู่เคยเป็น ฉันพบว่าฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มาจากประเทศที่มีและร่ำรวยทางประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ศิลปะอันเก่าแก่ไม่แพ้ชาติใดในโลก ฉันภูมิใจที่เกิดเป็นลูกหลานไทย
…. เข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า การที่พ่อไม่เคยกอดฉันเลยนั้น เป็นประเพณีไทยที่ดีที่ใช้การยกมือไหว้แทนการกอดลูกสาว และไม่จำเป็นต้องพูดว่าฉันรักเธอพร่ำเพรื่อเหมือนฝรั่ง แต่เป็นการกระทำที่ทุ่มเทเป็นความรักที่แท้จริงให้แทน นอกจากนี้ฉันยังพบว่าการที่ฉันไม่ยอมพูดภาษาไทยตอนแรกนั้น เป็นเพราะตอนเด็ก ๆ เวลาพูดไทยกับคนไทยมักจะถูกหัวเราะเสมอ ๆ เพราะฉันพูดไม่ชัด แต่ … การหัวเราะของผู้ใหญ่ด้วยความเอ็นดูนั้น มันทำให้เด็กเข้าใจผิดว่าเป็นภาษาตลกที่เวลาพูดแล้วทำให้คนหัวเราะเลยไม่พูดซะเลย
พอกลับมาที่สหรัฐฯ ฉันเริ่มเรียนภาษาไทยอย่างจริงจัง ทำอะไรเป็นไทย ๆ ไปหมด เจอใครก็บอกเขาอย่างภาคภูมิใจว่าฉันเป็นคนไทย … ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในการค้นหารากเหง้าของฉัน หวังว่าคงมีโอกาสได้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
วันนี้ฉันรู้แล้วว่า … พ่อแม่รักฉันมากที่สุดในโลก … และเดี๋ยวนี้ฉันคิดถึงและรักท่านเหลือเกิน ถึงท่านไม่เคยบอกว่า I love you กับฉันสักครั้งเดียว แต่ฉันเข้าใจนะ …. เข้าใจแล้ว … การกระทำของท่านที่ปรากฏกับชีวิตฉัน มันยิ่งกว่าการพูดเป็นร้อยเป็นพันเท่า หรือที่เขาพูดว่า การกระทำดังกว่าการพูด!! นี่ขนาดพ่อบนโลกนี้นะ แล้วพ่อบนสวรรค์ของฉันล่ะ พระองค์จะรักฉันมากขนาดไหน!!