
ศจ. ดร. สมใจ รักษาศรี (D. Min., D.C.Ed.)
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งความเชื่อแบ๊บติสต์
ผู้อำนวยการสถาบันครอบครัวไทย
From <https://www.facebook.com/profile.php?id=100036970351773>
ข่าวใหญ่ของประเทศ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการตั้งรัฐบาลใหม่ คือ งานเทศกาล “บางกอกไพรด์ 2023) หรือ Bangkok Pride Month 2023 ซึ่งไม่เพียงเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างที่เคยจัดมาในปีก่อน ๆ หรืออย่างที่ในหลาย ๆ ประเทศจัดขึ้น แต่ยังเป็นการแสดงความพร้อมเพื่อการเป็นเจ้าภาพ World Pride 2028 กิจกรรมในระดับโลกของกลุ่ม LBGTQ ซึ่งแน่นอนว่าจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน
แต่ … ในปีนั้นเป็น “ธงที่สำคัญ” ของคริสเตียนไทย คือ เป็นปีที่ข่าวประเสริฐเข้ามาในประเทศไทยครบ 200 ปีพอดี (ค.ศ. 1828-2028)
เราเริ่มได้ยินถี่ขึ้นว่ารักร่วมเพศ หรือ LGBTQ เป็น “รสนิยม เป็นความชอบและเป็นความพึงพอใจส่วนบุคคล” เราไม่ควรจะไปก้าวก่ายหรือตัดสินเพียงเพราะรสนิยมของเขาไม่เหมือนกับของเรา จะเป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าผิดหวังมากที่หากคำพูดทำนองนี้ออกมาจากปากของผู้นำคริสตจักร เพราะสำหรับคริสเตียน ไม่มีคำกล่าวอ้างใด ๆ ที่จะสามารถบอกได้ว่า LGBTQ เป็นรสนิยมส่วนบุคคล หรือเป็นสิทธิเสรีภาพ เพราะมันขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์
การพูดถึง LGBTQ ในลักษณะนี้ไม่ได้มีความหมายว่าเรากำลังดูหมิ่นเหยียดยามคนเหล่านี้ หรือมองว่าการประพฤติของพวกเป็นบาปที่รุนแรงกว่าบาปอื่น ๆ เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า เมื่อมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป มนุษย์ทั้งปวงซึ่งเป็นลูกหลานของอาดัมเอวาจึงตกอยู่ใต้อำนาจของบาป ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบาปนั้นจะปรากฏตัวออกมาในรูปแบบใด บ้างก็เป็นการฆาตกรรม บ้างก็ฉกชิงวิ่งปล้นและลักขโมย บ้างก็รูปเคารพ ไสยศาสตร์ พ่อมดหมอผี บ้างก็เป็นความชั่วร้ายและการผิดศีลธรรม บ้างก็เป็นความประพฤติผิดทางเพศ และปัจจุบันก็คือ LBGTQ
พระคัมภีร์บอกว่า …
“เพราะทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม. 3:23) เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์สร้างตามพระฉายาหรือพระสิริของพระองค์ แต่บาปได้เข้ามาทำลายจนสิ่งเหล่านี้เสื่อมหายไปจากมนุษย์ “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (รม. 6:23) การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนกางเขนเป็นการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าบาปของเขาจะเป็นบาปอะไรก็ตาม คนที่เป็น LGBTQ จำเป็นต้องต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นไปตามพระประสงค์ดั้งเดิมของพระเจ้า มนุษย์นับเป็นสิ่งทรงสร้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งปวง เพราะมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า
ทำไม LGBTQ หรือรักร่วมเพศจึงเป็นความบาป
ประการแรก LGBTQ ขัดแย้งกับพระลักษณะและการทรงสำแดงของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครและมีพระลักษณะอย่างไร พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ โลกและมนุษย์ เพื่อสำแดงถึงพระลักษณะแห่งความบริสุทธิ์และพระประสงค์ของพระองค์ นี่เองที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า” (สดด. 19:1; 50:6) มนุษย์เองก็ต้องสำแดงพระสิริของพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ (ปฐก. 1:26-28)
ในพระธรรมโรมบทที่ 1 เปาโลได้พูดอย่างชัดเจนว่ารักร่วมเพศเป็นความผิดบาปและเป็นการกระทำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า พระคัมภีร์ตอนนี้บอกให้รู้ว่าแบบแผนของพระเจ้าในเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องผู้ชายและผู้หญิง แต่ชาวโรมันกลับ “ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจ กระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย” (รม. 1:23-27) รักร่วมเพศเป็นงานของซาตาน มันพยายามทำให้มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่มนุษย์กลับปฏิเสธความจริงนี้
แม้ปฏิเสธพระเจ้า แต่ในใจของมนุษย์ลึก ๆ ของมนุษย์เรียกร้องที่จะนมัสการ ดังนั้นซาตานจึงล่อลวงและชักนำให้มนุษย์สร้างรูปเคารพขึ้นมานมัสการ ได้แก่ รูปมนุษย์ที่ต้องตาย รูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน จึงกล่าวได้ว่ารักร่วมเพศหรือ LGBTQ เป็นรูปแบบหนึ่งของการนมัสการรูปเคารพ ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เปาโลยังได้พูดถึงความบาปที่หลายอย่างอันเป็นผลมาจากการปฏิเสธพระเจ้าและหันไปหารูปเคารพ ได้แก่ สรรพการอธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การล่อลวง การคิดค้าย พูดนินทา ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว ริทำชั่วแปลก ไม่เชื่อฟังบิดามารดา โง่เขลา กลับสัตย์ ไม่มีความรักกัน ไร้ความปรานี” (รม. 1:29-31)
ประการที่สอง เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และทั้งสองเพศจะร่วมมือกันเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าสำเร็จ คือ มีลูกดกทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินและปกครองเหนือแผ่นดิน “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” (ปฐก. 1:27-28)
ในพระคัมภีร์สองข้อนี้บอกให้รู้ว่ารักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลสองประการ คือ
1) รักร่วมเพศขัดแย้งกับแบบแผนในการทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและเป็นหญิง และทรงอวยพรพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทรงอวยพรชายกับชายหรือหญิงกับหญิง นั่นคือเหตุผลที่บอกว่ารักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับแบบแผนในการทรงสร้างของพระเจ้าและการอวยพรของพระองค์เหนือชายและหญิง
ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าได้ทรงกำหนดและสถาปนาการสมรสขึ้น และการสมรสตามแบบแผนของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องระหว่างชายและหญิง (ปฐก. 2:24-25) เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ LGBTQ ได้พยายามกำหนดแบบแผนของการสมรสขึ้นมาใหม่ตามที่เขาต้องการ พวกเขามองว่าการสมรสแบบชายต่อชายหรือหญิงต่อหญิงเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ควรจะเอาแนวปฏิบัติแบบดั้งเดิมหรือแม้กระทั่งคำสอนของศาสนาที่ว่าการสมรสจะต้องเป็นเรื่องของชายและหญิงมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของเขา
2) ทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นโมฆะ พระประสงค์ของพระเจ้าคือ “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน…” (ข้อ 27) แต่ LGBTQ หรือรักร่วมเพศไม่สามารถทำให้พระประสงค์นี้สำเร็จได้ เพราะพวกเขาจะไม่มีบุตรที่จะกระทำให้พระบัญชาของพระเจ้าบังเกิดผล ทางเดียวที่มนุษย์จะมีอำนาจเหนือแผ่นดินและปกครองโลกคือมีลูกดกทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดิน นั่นคือเหตุผลที่บอกว่า “รักร่วมเพศ” ขัดแย้งกับคำสอนพระคัมภีร์ และถูกเรียกเป็น “บาป” เพราะไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ผู้นำคริสตจักรและคริสเตียนบางคนที่คิดว่าหรือเชื่อว่าเราเป็น LGBTQ พร้อม ๆ กับเป็นคริสเตียนได้พากันยกพระคัมภีร์หลาย ๆ ตอนมาเป็นเหตุผลว่าทำไมคริสตจักรจึงต้องตอบรับและสนับสนุน LGBTQ เช่น “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์” (กท. 3:28) โดยตีความคำว่า “ไม่เป็นชายหรือหญิง” ว่าหมายถึง LGBTQ ซึ่งเป็นการตีความที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
ท่าทีของคริสเตียนต่อ LGBTQ
คริสเตียน/คริสตจักร ควรเป็นห่วงจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ คริสเตียนต้องสำแดงความรักต่อเขา เป็นพยานต่อเขา และนำเขามาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ แต่การห่วงใยจิตวิญญาณและการแสดงความรักต่อคนเหล่านี้เป็นคนละเรื่องกับการยอมรับหรืออะลุ่มอล่อยต่อพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตของ LGBTQ คริสเตียนต้องไม่ยอมรับวิถีทางของ “รักร่วมเพศ” ไม่ว่าจะคิดว่ามันเป็น “รสนิยม”
ยิ่งกว่านั้น คริสเตียนไม่ควรอนุโลมให้เป็นคริสเตียนแบบ LGBTQ ได้ หรือการสถาปนาคนรักร่วมเพศให้เป็นศิษยาภิบาลและผู้นำของคริสตจักร เพราะความประพฤติเหล่านี้สวนทางกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ยกตัวอย่างเช่น
“ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร. 5:17) คนที่ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ชีวิตเก่า (ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม) จะต้องจบสิ้นลง
“คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆ แจกให้แก่คนที่ขัดสน อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง” (อฟ. 4:28-29) นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเปาโลไม่ได้ระบุทั้งหมด เพียงยกตัวอย่างบางกรณีเท่านั้น
“ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา โสเภณีชาย ชายรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (1 คร. 6:9-10) ตัวบ่งชี้หนึ่งว่าคนหนึ่งคนใดได้รับความรอด คือ ชีวิตที่ถูกสร้างใหม่ หรือชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นแทนที่เขาจะมีชีวิตอย่างที่พระธรรมกาลาเทียเรียกว่า “การงานของเนื้อหนัง” (กท. 5:19-21) แต่เขาจะมีผลของพระวิญญาณในชีวิต (กท. 5:22-23)
ดังนั้นหากจุดยืนไม่ตั้งมั่นอยู่บนหลักคำสอนของพระคัมภีร์ เราก็อาจจะอลุ่มอล่วย หรือลดมาตรฐานของพระคัมภีร์ลงเพื่อทำให้คนเหล่านี้พึงพอใจและมีความสุข ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้มีวิถีชีวิตที่ย้อนแย้งกับพระคำของพระเจ้าและมีชีวิตที่ต่อต้านพระเจ้า
*** ในบทความต่อไปผมจะยกตัวอย่างของพระคัมภีร์ถึงการตอบสนองของพระเยซูต่อเรื่องราวทำนองนี้ ***