โดย ปีเตอร์ ปัญญาชน
จากหนังสือพิมพ์แบ่งปันความรัก
ใครจะไปเชื่อ … หรือเคยคิดบ้างว่า จู่ๆ ผู้ยิ่งใหญ่ มหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาจะกลับกลายมาเป็นผู้ก่อเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ตามข่าวคาดว่ามีคนตกงานถึงวันละประมาณ 30,000 คน ทั่วประเทศ และกำลังบานปลายลามไปทั่วโลก … มีคนจำนวนมากมายต้องไร้ที่อยู่ ละทิ้งบ้านช่อง เพราะตกงานไม่สามารถผ่อนบ้านได้ …
กวง … ชาวเวียตนามก็เป็นอีกรายหนึ่งที่หนีไม่พ้นผลกระทบครั้งนี้เหมือนชาวอเมริกันทั่วไป ครั้งแรกเขาทำงานเป็นคนหั่นเนื้อและทอดปลาในซุปเปอร์มาร์เก็ตของชาวจีนแห่งหนึ่ง เขาเป็นคนที่ขยันขันแรงชนิดหาตัวจับยากทีเดียว
ส่วนภรรยาสาวก็ทำงานเย็บเสื้อในโรงงานเย็บเสื้อ สองแรงแข็งขันช่วยกันสร้างเนื้อตัว และอาจเป็นสามแรงด้วยซ้ำไปเพราะนายกวงเล่นแบกจ๊อบไปสองแห่ง หลังจากเลิกงานจากร้านซุปเปอร์มาเก็ตรอบเช้าก็ไปทำงานต่ออีกรอบหนึ่งที่โรงงานทำอาหารในดาวน์ทาวน์ลอสเองเจลิสอีกด้วย …
แล้ว … เมื่อพอมีเงินเก็บบ้างพอสมควรก็ย้ายครอบครัวเข้าไปสู่บ้านใหม่ที่ซื้อไว้แถบไชน่าทาวน์ ด้วยการวางเงินดาวน์ต่ำเพียงไม่เท่าไหร่เอง …
หลายปีผ่านไป … จากบ้านที่เป็นสวรรค์ของสองสามีภรรยาก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเมื่อมีลูกๆ อีกสองคนเป็นชายทั้งคู่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว … ด้วยความรักครอบครัว กวงเลยให้ภรรยาหยุดงานตั้งแต่คลอดบุตรคนที่สอง เพื่อดูแลลูกๆ ที่บ้าน
เขาทำงานคนเดียวอย่างขยันขันแข็ง และก็ดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เงินผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่เดือดร้อนแต่ประการใด …
ด้วยการมีสายเลือดที่ขยันและชอบค้าขาย ดังนั้นเขาก็เหมือนคนอื่นที่พร้อมที่จะผันเปลี่ยนอาชีพจากเดิมไปเป็นอย่างอื่นที่มีโอกาสเสมอๆ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก
ไม่นานนัก … กวงก็กลายเป็นเสี่ยกวงไป จากบ้านหลังเดียวก็กลายเป็นเจ้าของหลายหลัง และเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนายหน้าและนักลงทุนอหังสาริมทรัพย์ไปโดยไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากเครดิตดีขึ้น
ตอนแรกๆ ก็ให้คนอื่นเช่าเอาค่าเช่ามาเป็นค่าผ่อนบ้าน พอมันบูมสุดขีด บ้านราคาเพียงสามแสนเหรียญ ถูกปั่นจนสามารถขายได้ถึงสี่แสนได้อย่างง่ายดาย …
เขาขายบ้านไปได้หลายหลัง ได้กำไรหลายแสนเหรียญ กลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ไปแล้ว ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย รถราคาแพง สิ่งของเครื่องใช้ล้วนแล้วมีแบรนด์เนม ยี่ห้อดัง เรียกว่าหรูหราในสังคมชั้นสูง เพื่อเสาะแสวงหาโอกาสที่จะปั่นให้ตัวเองสูงขึ้นไปอีก โดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก … ขอให้มันทำเงินได้เป็นพอ นี่เป็นความหวังของชีวิตของเขา ต้องเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯให้ได้
จากการได้พบปะเพื่อนๆ นักธุรกิจหลายๆ สาขา จนได้รับการแนะนำให้เล่นหุ้น ใหม่ๆ ก็เล่นไปตามคำชวนของเพื่อนอย่างเสียไม่ได้ แต่ … เอ๊ะ … มันทำกำไรได้อย่างง่ายดาย
จากเล็กน้อยกลายเป็นนักเล่นหุ้นตัวยงเลยทีเดียว วันๆ ก็นั่งเคาะดูตัวเลขเหมือนนักเล่นหุ้นทั้งหลาย …
มันก็เหลือเชื่อ บัดนี้เขากลายเป็นเศรษฐีมีเงินหมุนเวียนเป็นล้านๆ หลายล้านเหรียญจนตัวเขาเองก็แทบไม่เชื่อตัวเองว่าเขาสามารถทำเงินได้มากมายขนาดนั้น
เรื่องนี้กวงไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตของคนเรามีสองวันที่เราไม่อาจรู้หรือสามารถทำอะไรได้อย่างแน่นอนดั่งตั้งใจได้ คือเมือวานนี้ และวันพรุ่งนี้ เพราะว่าเมื่อวานนี้ มันเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ของชีวิตไปแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ เราอาจหลับแล้วไม่ตื่นเลย … หรือเจออุบัติเหตุโดยไม่คาดฝันก็ได้ …
และแล้ว …
เมื่อเกิดวิกฤตการแฮมเบอร์เกอร์ เขาบอกว่ามูลค่าทรัพย์สินและหุ้นต่างๆ มันเหมือนพุ่งดิ่งลงสู่เหวอย่างรวดเร็วมาก จนทำให้บ้านถูกยึดขายทอดตลาด แถมเป็นหนี้ธนาคารอีก หุ้นที่เคยรุ่งโรจน์กลับกลายมาเป็นเศษกระดาษไป เหลือเพียงมูลค่าหุ้นละเพียงไม่ถึงเหรียญ
หนักกว่านั้น บ้านตัวเองก็โดนเข้าไปอีก ถึงกับต้องดีดตัวเองออกจากบ้าน เร่ร่อนอยู่ข้างถนนอยู่พักหนึ่ง ลูกเมียก็ทิ้งเขาไป … เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่เวียตนาม เพราะทนสภาพยากลำบากไม่ไหว หลายครั้งเขารู้สึกท้อถอย หมดหวังในชีวิต …
จากนั้นเขาก็บากหน้าไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วเขาเคยช่วยเหลือเพื่อนคนนี้สมัยที่เขายังร่ำรวย หวังว่าเจ้าเพื่อนคนนี้คงให้ที่พักอาศัยหรืออย่างน้อยก็พอจะช่วยเหลือได้บ้างในยามยากลำบากเช่นนี้ ไม่ต้องไปเป็นมนุษย์กล่องกระดาษตามมุมตึกในเมือง หรือที่รู้จักในนามโฮมเรสส์ (Homeless) ซึ่งมีอยู่มากมายในเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐฯขณะนี้
ผิดถนัด … เพื่อนรายนี้ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย กลับแนะนำเหมือนประชดว่า ให้ไปคุ้ยเก็บกระป๋องอลูมิเนียมจากถังขยะที่ชาวบ้านนำมาตั้งไว้หน้าบ้านเพื่อรอรถเก็บขยะมาจัดเก็บ ไปชั่งขาย คงได้ตังค์ใช้บ้าง!!!
ด้วยความน้อยใจอย่างสุดที่จะกล่าว … เพราะเขาไม่เคยคิดว่า จะได้คำตอบจากเพื่อนสนิทคนนี้ในลักษณะนี้ แต่ … แทนที่เขาจะน้อยใจจนฆ่าตัวตาย เขากลับไปหยิบรถเข็น-ของซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งไม่รู้ใครมาตั้งทิ้งไว้ริมทางเท้า … เขา … เข็นๆๆ คุ้ยๆๆๆๆๆๆตามถังขยะด้วยความสะใจต่อหน้าเพื่อนของเขา เหมือนกับจะประชด … อยากรู้เหมือนกันว่าจะจนหรือตกต่ำสุดๆ แล้วมันจะขนาดไหน!!
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังคุ้ยขยะในถังใบสีฟ้าซึ่งเป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นถังสำหรับขยะรีไซเคิลเท่านั้น สายตาเหลือบไปเห็นชายชราท่าทางคงอายุมากโขอยู่ กำลังเข็นเจ้ารถตัดหญ้าอยู่หน้าบ้านเพื่อตัดหญ้าหน้าบ้านด้วยตนเอง … เขาเห็นว่าชายชราคงเข็นเจ้าเครื่องตัดหญ้าไม่ไหวแน่ๆ กว่าจะขยับทีรู้สึกยากลำบากเหลือเกิน
ดังนั้นเขาจึงเข้าไปบอกชายชราคนนั้นว่า เขาอยากจะช่วยตัดหญ้าให้ ลุงบอกว่าไม่มีตังค์จ่ายให้นะ เขาก็ไม่ว่าอะไร คว้าเจ้ารถตัดหญ้าของลุงมาจากมือแล้วลงมือตัดหญ้าหน้าบ้านจนเรียบ แล้วหันไปยิ้มกับชายชรา …
นี่เป็นการเริ่มต้นหรือเป็นการหักมุมชีวิตทีเดียว ลุงบอกให้เขามาช่วยอีกอาทิตย์หน้า ได้ไหม? เขาก็มาตามนัดโดยไม่รับเงินแต่ประการใด
จากนั้นปากต่อปาก ลุงบอกเพื่อนบ้านอีกหลายๆคนแถบนั้น ถึงความมีน้ำใจของ กวง เพื่อนบ้านและอีกครอบครัวเริ่มเรียกใช้บริการของกวง โดยจ่ายค่าตัดหญ้าให้ครั้งละ 40 เหรียญบ้าง 20 เหรียญบ้าง โดยตัดอาทิตย์ละครั้งหมุนเวียนเปลี่ยนสลับวันกันไป …
บ้านในสหรัฐอเมริกา ทุกบ้านจะไม่มีรั้ว … ระยะหลังเนื่องจากชาวเอเซียไปอยู่กันมากขึ้นเลยมีรั้วบ้าง แต่ก็มีส่วนน้อยมาก ทุกบ้านต้องรักษากฎอย่างหนึ่งคือต้องรักษาหญ้าหรือต้นไม้หน้าบ้านของตนให้เขียวและสะอาดอยู่เสมอ ไม่งั้นอาจโดนใบสั่งจากตำรวจในฐานไม่รักษาต้นไม้ใบหญ้าให้เขียวเหมือนเพื่อนบ้าน
การไม่ทำความเรียบร้อยหน้าบ้านของตน ทำให้ราคาบ้านของพวกเขาไม่น่าดู มูลค่าราคาของบ้านแถบนั้นจะตกต่ำลงไปอีกได้ …
เมื่อลูกค้ามากขึ้นๆๆๆ จนชายชราคนแรกที่เขายังไม่ทราบชื่อนั้นก็ให้รถกระบะเก่าๆคันหนึ่งเพื่อสำหรับขนเครื่องไม้เครื่องมือซึ่งเขาสามารถซื้อเองได้แล้วในเวลานี้
อีกไม่กี่เดือนต่อมา กวงกลายเป็นเจ้าของกิจการรับตัดหญ้า แถมมีรถพร้อมเครื่องย่อยกิ่งไม้เวลาไปรับตกแต่งตัดกิ่งไม้ใหญ่ตามบ้าน …
เรื่องต้นไม้ใหญ่นั้น หากอยู่นอกรั้วบ้านเจ้าของไม่มีสิทธิ์ไปตัดหรือไปยุ่งอย่างเด็ดขาดต้องให้ทางการเขามาตัดแต่งเอง หรือแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ภายในบ้านก็ต้องแจ้งให้คนที่มีใบอนุญาตตัดแต่งมาตัดให้ ที่นี่ยอมรับว่าเขารักต้นไม้กันจริงๆ
หลังสุดที่ทราบเขามีบริษัทขายเครื่องตัดหญ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้ามีชื่อแห่งหนึ่งแถวไชนาทาวน์ คนงานถึง 16 คน ล่าสุดทราบว่าได้ไปรับลูกเมียกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง … แม้จะกลับมาอยู่อพาร์ทเมนท์ แต่ก็มีความสุขมากกว่าตอนที่ร่ำรวยเสียอีก
กวงเล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่าขณะนี้จะพอมีพอใช้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน แต่ชีวิตกลับมีความสุขมากกว่าเดิม เพราะไม่มีหนี้ แถมบ้านก็ไม่ต้องผ่อน วันอาทิตย์ก็ได้หยุดอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวไปโบสถ์ได้อย่างมีสันติสุข
ก่อนจากกัน เขาเล่าให้ฟังอีกว่า … เวลาว่างหรือมีอะไรมาสะกิดทีไรก็อดคิดถึงเพื่อนคนที่เขาไปขอความช่วยเหลือไม่ได้ เพราะว่า …
วันนั้นเขามีทางเลือกสองทางเท่านั้นจริงๆ คือ เขาอาจฆ่าเจ้าเพื่อนคนนั้นด้วยความโกรธที่ดูถูกให้ไปเก็บขยะถือว่าเป็นการทำร้ายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเหลือเกิน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เขาเลือกเอารถเข็นไปเก็บขวดในขยะแทน!!