ประสบการณ์ชีวิตที่ดำเนินใกล้ชิดกับพระเจ้า
ของ ผป.วิชัย และ พรรณี ตรังคสมบัติ
บันทึกโดย พรรณี ตรังคสมบัติ
แด่ … พระเจ้าผู้เป็นที่หนึ่งในชีวิตเรา
และ … ครอบครัวของเรา
ที่ได้สนับสนุนเราให้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น
คำนำจากผู้เขียน
จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะต้องการถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ … พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด … พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วย ความรัก ความเมตตา และฤทธิ์อำนาจ
ผู้มีความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ หรือมีปัญหาต่าง ๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการงาน การเงิน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ครอบครัว หรือปัญหาใด ๆ พระเจ้าทรงช่วยได้ทุกเรื่อง ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ก็สามารถแสวงหาพระองค์และพบพระองค์ได้จากประสบการณ์ชีวิตจริงแห่งการช่วยกู้ของพระเจ้า
ดิฉันขอยืนยันว่าทุกสิ่งที่ได้บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้เป็นความจริง และขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตลอดไป
ขอขอบคุณ คุณวชิราวรรณ วรรณละเอียด ที่ได้ช่วยบรรณาธิกร และ คุณประวิทย์ จุลรังสี ที่ช่วยจัดหน้าและออกแบบปกหนังสือ “ผจญภัยกับพระเจ้า” จนได้เป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ประสบแต่ สันติสุขและความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น และขอพระเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทให้ทุกสิ่งที่ ท่านปรารถนานั้น สำเร็จผลสมประสงค์
พรรณี ตรังคสมบัติ | 2554, กรุงเทพฯ
1 ] ผจญภัยในความเจ็บป่วยพระเจ้าทรงรักษาโรคต่าง ๆ ให้หาย
“เพราะเราคือพระเจ้าแพทย์ของเจ้า” อพยพ 15:26
ดิ ฉั น เกิดที่โรงพยาบาลมาตาภาวะสถาน (โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน) กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2481 โดย คุณป๋ารัตน์กับคุณแม่ชื้น (ทัพพะทัต) เปสตันยี ตั้งชื่อให้ว่า “พรรณี” ดิฉันมีน้องชายอีก 2 คนคือ สันติ์ และ เอเดิล (เอ๊ด)
ตอนเป็นเด็กดิฉันเป็นโรคคอตีบ ขณะนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คุณแม่ชื้นได้พาดิฉันไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงฉีดยาป้องกันโรคคอตีบ (ซึ่ง เหลืออยู่เข็มสุดท้ายพอดี) ให้ดิฉัน ขอบคุณพระเจ้าที่นอกจากพระองค์จะทรงช่วย ให้ดิฉันหายจากโรคแล้ว ดิฉันยังไม่ต้องถูกเจาะคออีกด้วย เพราะเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่ง อยู่บ้านเดียวกับดิฉันก็เป็นโรคคอตีบเหมือนกัน แต่ทางโรงพยาบาลไม่มียาฉีดให้ เธอ จึงต้องถูกเจาะคอ ทำให้คอของเธอมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดมาจนทุกวันนี้
ดิฉันเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก … ร่างกายค่อนข้างผอมมาก และมักจะเจ็บ ป่วยอยู่เสมอ ตอนอายุ 10 ขวบ ต่อมทอนซิลของดิฉันอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้มัน บวมและเป็นหนอง คราวนี้ดิฉันถูกส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลมิชชั่นและต้องนอน พักรักษาตัวที่นั่นถึง 2 สัปดาห์ จนกระทั่งหายจึงกลับไปเรียนหนังสือต่อที่โรงเรียน วัฒนาวิทยาลัย
เมื่อเรียนที่วัฒนาฯ จนจบชั้นมัธยมสามตอนอายุได้ประมาณ 13 ปี ในปี พ.ศ. 2495 แล้ว คุณป๋ารัตน์กับคุณแม่ชื้นจึงส่งดิฉันไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ณ โรงเรียน ประจำที่ชื่อ Upper Chine School ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ Isle of Wight ทางตอนใต้ของ ประเทศอังกฤษ โรงเรียนนี้สวยงามมากและตั้งอยู่บนภูเขาจึงทำให้มองเห็นทะเลล้อม รอบ และเมื่อมองลงมาจากภูเขาจะเห็นลำธารเล็กๆ ไหลผ่านสวนดอกกุหลาบหลาก สีสันซึ่งบานสะพรั่งเต็มไปหมด
วันหนึ่งขณะเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ ซึ่งตอนนั้นดิฉันอายุได้ 16 ปี แล้ว วันนั้นเป็น วันศุกร์ประมาณ 5 โมงเย็น ดิฉันรู้สึกปวดท้องมากจึงไปหานางพยาบาลที่ห้องพัก นักเรียนป่วย ในช่วงนั้นเพื่อนๆ ที่นอนห้องเดียวกับดิฉันเจ็ดคนได้ไปเข้ารับการ ผ่าตัดไส้ติ่ง (ห้องนอนมี 8 เตียง และมีนักเรียน 8 คน) ดังนั้น เมื่อดิฉันมีอาการปวดท้อง อย่างรุนแรง อาเจียน และมีไข้ นางพยาบาลจึงไม่เชื่อว่าดิฉันป่วยจริง โดยคิดว่าดิฉัน อยากจะป่วยตามเพื่อนๆ ทั้งเจ็ดคน เธอจึงทิ้งให้ดิฉันนอนพักอยู่ที่นั่นตั้งแต่เย็นวัน ศุกร์จนถึงเช้าวันจันทร์ (โดยไม่ได้เข้ามาดูแลเลย ซึ่งดิฉันคิดว่าเหมือนกับการถือศีล อดอาหาร 3 วัน)
ในวันจันทร์ตอนเช้า เมื่อนางพยาบาลมาทำงานตามปกติ เธอก็พบว่าดิฉันมี ไข้สูงและนอนไม่ได้สติอยู่ เธอจึงเรียกครูใหญ่และนายแพทย์มาดู แพทย์คนนั้นจึงดุ นางพยาบาลด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็สั่งให้เรียกรถพยาบาลมาจากเมืองใกล้ๆ เพื่อ นำตัวดิฉันเดินทางไปรับการผ่าตัดด่วนเพราะไส้ติ่งเกือบจะแตกแล้ว แต่พระเจ้าทรง คุ้มครองดิฉัน เพราะรถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงจับตัวดิฉันมัดติดไว้ กับเตียงในรถ แล้วเปิดหวอเสียงดังลั่น ดิฉันจึงเดินทางถึงโรงพยาบาลในเมืองใกล้ๆ Isle of Wight ได้ภายใน 45 นาที จากนั้นพวกเขาก็นำดิฉันเข้าห้องผ่าตัดทันที
ดิฉันนอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้นถึง 10 วัน (โดยนอนตลอดเวลา ไม่ได้ลุกขึ้นยืน หรือเดินไปมาเลย) และเนื่องจากดิฉันเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องเสียค่าประกันปีละ 15 ปอนด์ ดิฉันจึงไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเลย ขอบคุณพระเจ้า
ดิฉันเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 13 – 17 ปี จนจบชั้นมัธยมปลายจึง กลับประเทศไทย โดยกลับมาช่วยคุณป๋าทำภาพยนตร์ เพราะท่านมีโรงถ่ายทำ ภาพยนตร์ชื่อ “บริษัทหนุมานภาพยนตร์จำกัด” และเมื่อน้องชายทั้งสองของดิฉัน เรียนจบจากอังกฤษกลับมาแล้ว พวกเขาก็มาช่วยทำงานในบริษัทเช่นเดียวกัน แต่ หลังจากคุณป๋าเสียชีวิตได้ประมาณ 4-5 ปี บริษัทก็ต้องปิดตัวลง ส่วนน้องชายดิฉันยัง คงทำงานทางด้านภาพยนตร์ต่อมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนดิฉันอายุ 21 ปี คุณป๋าได้สร้างภาพยนตร์ซีเนมาสโคปเรื่องแรกของเมืองไทย และเนื่องจากท่านเห็นว่าบุคลิกของดิฉันเหมือนกับนางเอกในเรื่อง “แพรดำ” ท่านจึงให้ดิฉันรับบทเป็นนางเอกของภาพยนตร์เรื่องนั้น
อย่างไรก็ตาม ดิฉันสนใจทำงานเบื้องหลังการถ่ายทำมากกว่าจะแสดงเป็น นางเอก ดิฉันจึงตัดสินใจแสดงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ภาพยนตร์เรื่อง “แพรดำ” จึง เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายของดิฉัน
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา ทาง “มูลนิธิหนังไทย” ได้จัด งานเฉลิมฉลองให้คุณป๋า รัตน์ เปสตันยี เนื่องในโอกาสมีอายุครบรอบ 100 ปี และ ทางมูลนิธิได้เชิญแขกผู้มีเกียรติในวงการภาพยนตร์ในช่วงนั้นมาร่วมงานด้วย เพราะ คุณป๋ามีชื่อเสียงดีในการถ่ายทำและกำกับภาพยนตร์ ท่านเคยทำชื่อเสียงให้กับ ประเทศไทยมาหลายครั้ง พวกเราทุกคนจึงภูมิใจมาก
(คลิ๊กชมภาพยนตร์ที่ภาพ)
2 ] ผจญภัยในชีวิตครอบครัว ชีวิตแต่งงาน และการอัศจรรย์ที่เกิดกับลูกทั้งสาม
“จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง” สุภาษิต 3:5
ช่วงที่ดิฉันยังทำงานอยู่กับคุณป๋าที่บริษัทหนุมานภาพยนตร์นั้น ดิฉันได้พบ กับคุณวิชัย ตรังคสมบัติ ตอนนั้นดิฉันอายุ 24 ปี ส่วนคุณวิชัยอายุ 26 ปี เขากำลังทำงานรับราชการชั้นโทอยู่ที่แผนกฟิสิกส์ กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม
ภายหลังจากคบหาดูใจกันได้เกือบ 2 ปี เราจึงตัดสินใจแต่งงานกันในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 ณ โบสถ์ของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย คุณป๋ากับคุณแม่และ น้องชายทั้งสองของดิฉันก็ได้แต่งงานที่โบสถ์นี้เช่นกัน
ตอนดิฉันตั้งครรภ์ลูกคนแรก ดิฉันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของคุณวิชัยที่ถนน ลาดพร้าวแล้ว โดยมีคุณแม่และพี่สาวน้องสาวของเขาอยู่ด้วย พอตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ลูกสุนัขที่อยู่ในบ้านเราได้มุดรั้วออกไปข้างนอกและถูกสุนัขตัวโตกัด พอสามวันต่อมา สุนัขทั้งสองตัวนั้นก็ตาย พวกเราจึงเกิดความสงสัยว่า ทำไมพวกมันจึงตายทั้งสองตัว เราจึงนำซากลูกสุนัขใส่ถุงไปให้เจ้าหน้าที่ที่สถานเสาวภาตรวจว่ามันเป็นบ้าหรือเปล่า ปรากฏว่าลูกสุนัขถูกสุนัขตัวโตที่เป็นบ้ากัด มันจึงเป็นบ้า ดังนั้น หมอที่สถานเสาวภา จึงเขียนจดหมายฝากไปให้ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ผู้ที่ดิฉันฝากครรภ์ไว้ หมอ เสมจึงเรียกดิฉันและคุณวิชัยไปพบและบอกว่าดิฉันจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนกันพิษ สุนัขบ้า 14 เข็ม หมอบอกว่าเขาจำเป็นต้องช่วยชีวิตแม่ก่อน ส่วนลูกในครรภ์แปด เดือนนั้น หมอไม่รับรองว่าจะเป็นอย่างไร และหมอยังบอกอีกด้วยว่าเด็กจะอยู่ในครรภ์ ไม่ครบ 9 เดือน เพราะจะทนยาฉีดไม่ได้จึงต้องคลอดก่อนกำหนด
ทุกคนในบ้านจึงต้องไปฉีดวัคซีน ยกเว้นก็แต่คุณวิชัยเพราะเขาไม่เคยถูกต้อง ตัวสุนัขเลย พอดิฉันทราบว่าหมอไม่รับรองว่าลูกจะเป็นอย่างไร เมื่อกลับมาถึงบ้าน แล้ว ดิฉันซึ่งเป็นคริสเตียนและเชื่อในพระเจ้า จึงคุกเข่าลงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า เด็กคนนี้เป็นลูกของพระองค์ ถ้าพระองค์จะรับเขาไป ดิฉันก็ยินดี แต่ถ้าพระองค์ จะประทานเขาให้แก่ดิฉัน ก็ขอให้เขาปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาด้วยเถิด”
ดิฉันอธิษฐานเช่นนี้ 3 วัน จึงตัดสินใจไปฉีดยาที่สถานเสาวภาเพื่อป้องกัน พิษสุนัขบ้า หมอที่ฉีดยาสงสารดิฉันเพราะครรภ์แก่ หมอจึงค่อย ๆ ฉีดยาให้แล้วคอย ถามตลอดเวลาว่า “เจ็บไหมครับ เจ็บไหมครับ” ดิฉันเป็นลมทุกวัน พอถึงเข็มที่ 5 ท้อง ของดิฉันก็เขียวเหมือนเปลือกแตงโม คุณแม่ของคุณวิชัยสงสารดิฉัน ท่านคอยชง โอวัลตินให้ดื่มและเอากระเป๋าน้ำร้อนมาประคบท้องให้ทุกวัน ตอนฉีดวัคซีนครบ 14 เข็มนั้น ลูกในท้องของดิฉันก็อายุ 8 เดือนครึ่ง
ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2508 ดิฉันปวดท้องจะคลอดลูก ดิฉันจึงไป โรงพยาบาลหญิง (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลราชวิถี) ที่ฝากครรภ์ไว้ แต่เด็กนอนขวาง ดิฉันจึงต้องไปปั่นท้องให้หัวเด็กลง ดิฉันนอนอยู่ในห้องคลอดถึงสองวันสองคืน แล้วก็ยังไม่คลอด ดิฉันเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก คุณหมอเดินมาบอกว่าจะผ่าเอาเด็กออก … จะให้รู้สึกตัวไหม (จะบล๊อกหลังไหม) ดิฉันตอบว่าแล้วแต่คุณหมอ … จะทำอะไรก็ทำเถิดเพราะไม่ไหวแล้ว คุณหมอจึงใช้เครื่องดึงดึงออกมา ในที่สุดดิฉันก็ได้ ลูกชายที่มีน้ำหนักตัวถึง 4,000 กรัม! เขาเป็นเด็กปกติทุกอย่างและแข็งแรงมาก ขอบคุณพระเจ้า!
นี่คือการอัศจรรย์สำหรับลูกชายคนแรกที่ชื่อ วิชพันธุ์ (เปิ้ล) ทุกคนดีใจมาก โดยเฉพาะครอบครัวของคุณวิชัยที่อยากได้หลานชาย ดิฉันคลอดลูกคนแรกในวันที่ 17 มีนาคม ตอนนั้นดิฉันอายุ 27 ปี แล้ว
เนื่องจากตอนคลอดลูกชายคนแรก ดิฉันต้องผจญกับสิ่งเลวร้ายหลายอย่าง เรา จึงคิดว่าจะไม่มีลูกกันอีก แต่ในตอนนั้นเปิ้ลเหงามากเพราะต้องเล่นคนเดียว เราก็สงสารเขา จึงคิดว่าน่าจะมีลูกอีกสักคนเพื่อเขาจะได้มีเพื่อนเล่น แม้ว่าอายุจะห่าง กันถึงห้าหกปีก็ตาม
ดิฉันจึงเริ่มอธิษฐานขอพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้าเห็นว่าลูกคนที่สองเป็นผู้ชาย เหมาะกว่าเป็นหญิง ก็ขอให้ดิฉันมีลูกชายอีกสักคน แต่ถ้าพระองค์เห็นว่าดิฉันมี ลูกสาวจะเหมาะกว่า ก็ขอให้ได้ลูกสาว” ดิฉันก็ได้ลูกคนที่สองเป็นผู้ชาย
ลูกคนที่สองนี้ดิฉันไปฝากครรภ์กับ นายแพทย์เสริมศักดิ์ เพ็ญชาติ ซึ่งขณะ นั้นทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โดย วิชพร (โป่ง) คลอดในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2513 เวลา 9.57 นาฬิกา ดิฉันเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ 6 โมงเย็นของวันที่ 19 คุณหมอจึงแนะนำให้ฉีดยาเร่ง เพราะดิฉันเจ็บครรภ์มาหลายชั่วโมงแล้ว และ ต้องได้รับการให้น้ำเกลือหลายขวด ขอบคุณพระเจ้าที่วิชพรเป็นเด็กปกติและ แข็งแรงมาก
ในช่วงนั้น คุณป๋าของดิฉันยังทำงานอยู่ในวงการภาพยนตร์ แต่ท่านเสียชีวิต ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังเกิดอาการหัวใจวายอย่างกะทันหัน กลางที่ประชุมระหว่างสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แห่งประเทศไทย กับรัฐมนตรีว่าการและข้าราชการระดับสูงกระทรวงเศรษฐการ เรื่อง การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ที่โรงแรมมณเฑียร ท่านหัวใจวายขณะกำลังปราศรัยเรื่องที่รัฐบาลไม่สนับสนุนภาพยนตร์ไทย ดิฉันกำลังตั้งครรภ์ลูกชายคนที่สองได้ 5 เดือนกว่าๆ
เมื่อได้รู้ข่าวว่าคุณป๋าเสียชีวิตแล้ว ดิฉันก็รู้สึกตกใจจนลงคลานบนพื้นและ พยายามจะเข้าไปหาคุณป๋าในห้องที่โรงพยาบาล แต่หาประตูไม่เจอ (ทั้งๆ ที่ประตู อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง) เมื่อคุณวิชัยจอดรถและรีบขึ้นมาหาดิฉัน เขาก็มาพยุงตัวดิฉัน เข้าไปในห้องที่หมอกำลังปั๊มหัวใจคุณป๋าอยู่ ตอนนั้นดิฉันเกิดปวดท้องอย่างแรง จะคลอดลูก หมอที่กำลังปั๊มหัวใจก็หยุดเพราะคุณป๋าสิ้นใจแล้ว พวกหมอและพยาบาล จึงรีบเข้ามาช่วยเหลือดิฉันแทน โดยบีบนวดตัวและให้ทานยา แล้วสั่งให้ดิฉันรีบไป หาหมอที่ฝากครรภ์ไว้ …
ขอบคุณพระเจ้า ดิฉันได้นัดกับ คุณหมอเสริมศักดิ์ เพ็ญชาติ ไว้ในช่วงนั้นพอดี เมื่อคุณหมอเห็นหน้าดิฉัน หมอก็ถามว่า “คุณพรรณีเป็นอะไร ทำไมดูเศร้าจัง” ดิฉัน ก็ตอบว่า “ดิฉันเพิ่งเสียคุณป๋าไปเมื่อสองวันนี้เอง” หมอก็แสดงความเสียใจและพูดว่า “คุณพรรณีครับ คุณได้เสียคุณพ่อไปแล้ว อย่าต้องเสียลูกไปอีกคนเลย คุณต้องทำใจ คุณต้องกินอาหาร ต้องนอนพักผ่อน ไม่เช่นนั้นลูกของคุณก็จะเสียชีวิตด้วย”
หมอเสริมศักดิ์ได้ฉีดยาบำรุงหัวใจให้ดิฉัน 1 เข็ม และนัดให้ไปหาอีกสามวัน ติดต่อกัน ช่วงนั้นดิฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างมาก ขอบคุณพระองค์ที่ในที่สุด ลูกชาย คนที่สองก็เกิดมาพร้อมด้วยสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ในช่วงก่อนที่จะได้ลูกคนที่สอง นั่นคือตอนที่ลูกชายคนโตอายุได้ 2 ขวบ ดิฉันก็ได้ตั้งครรภ์อีก เมื่อไปหาคุณหมอเสริมศักดิ์ หมอก็บอกว่าดิฉันตั้งครรภ์นอกมดลูก และจะต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตแม่ก่อน ภายหลังผ่าตัด ดิฉันเจ็บปวดมาก เนื่องจากเมื่อตอนอายุ 16 ปี ที่ต้องผ่าตัดไส้ติ่งที่ประเทศอังกฤษ (ดังกล่าวแล้วในบทที่ 1) อันเป็นเหตุให้ดิฉันเป็นพังผืดขึ้นในท้อง ดังนั้น เมื่อตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ท้องของดิฉัน จึงมีพังผืดขึ้นเต็มไปหมด ทำให้เกิดปัญหาตั้งครรภ์นอกมดลูก หลังผ่าตัดเสร็จ คุณหมอเสริมศักดิ์ได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า “ผมเลาะพังผืดในท้องของคุณได้เต็มกาละมังเลย!” ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นแม่มาก
หลังจากการผ่าตัดครั้งนั้นผ่านไป 1 ปี ดิฉันก็ได้ตั้งครรภ์ลูกชายคนที่สอง และคลอดในเดือนธันวาคม (ดังกล่าวแล้ว) และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 3 ปี ดิฉันอธิษฐานขอ ลูกสาวจากพระเจ้า ดิฉันก็ได้ลูกสาวสมใจ ดิฉันจึงขอให้คุณหมอทำหมันให้ และ คุณหมอก็เห็นด้วยเพราะทราบว่าดิฉันได้ผจญกับความยากลำบากและความ เจ็บปวดมามากมายในการคลอดแต่ละครั้ง
ในที่สุด ดิฉันก็ได้ลูกสาวสมใจเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเราตั้งชื่อให้ ว่า วิชุรพา (ปรางค์) ดังนั้น ในช่วงเวลา 10 ปี เรามีลูก 3 คน โดยลูกชายคนโตอายุแก่กว่าลูกสาวคนเล็กถึง 10 ปี ส่วนลูกชายคนที่สองแก่กว่าน้องสาวของเขา 3 ปี
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ วิชพันธุ์, วิชพร และ วิชุรพา ที่พระองค์ประทานให้ ทั้งสามคนมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทุกประการ
3 ] ผจญภัยในชีวิตของคุณวิชัย ชีวิตที่พบพระเยซูคริสต์อย่างอัศจรรย์
“แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก” ยอห์น 15:19
“วิชัย น้ำผุด” คือชื่อเดิมของเขา นามสกุลนี้เป็นชื่อตำบลหนึ่งในจังหวัดตรัง นั่นคือตำบลน้ำผุด เนื่องจากท่านเจ้าพระยารัษฎานุประดิษฐ์ได้เห็นว่า คุณพ่อของ คุณวิชัย คือนายโอ้น น้ำผุด นั้นเป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์หลายอย่างให้จังหวัดตรัง ท่านเจ้าพระยาจึงตั้งนามสกุลให้กับท่านว่า “น้ำผุด” ตามชื่อตำบล คุณวิชัยได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลใหม่และกลายเป็น “วิชัย ตรังคสมบัติ” นับตั้งแต่ พ.ศ.2508 เป็นต้นมา
ตอนดิฉันแต่งงานกับคุณวิชัย เขายังไม่รู้จักพระเจ้า แต่พี่สาวคนที่สองของเขาที่ชื่อ คุณนายพงษ์จันทร์ ศรีประสิทธิ์ นั้นได้รู้จักพระเจ้าตั้งแต่เด็ก และคุณวิชัยก็ทราบ ว่าดิฉันเป็นคริสเตียนและได้รับเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่อายุ 13 ปี (ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ) เมื่อเราได้ตัดสินใจจะแต่งงานกัน ดิฉันก็ขอให้เราจัดพิธี แต่งงานในโบสถ์ และในอนาคตถ้ามีลูก ลูกของเราจะต้องเป็นคริสเตียน คุณวิชัยก็ตกลง
อย่างไรก็ตาม ก่อนแต่งงานดิฉันได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้าทรง เลือกเขาไว้ให้แก่ดิฉัน ก็ขอให้ทุกอย่างราบรื่นจนได้แต่งงานกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ขอให้ดิฉันปฏิเสธเขาเมื่อเขาส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ” และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ดิฉันได้อธิษฐานขอพระเจ้าให้ทรงนำคุณวิชัยมารู้จักพระองค์อยู่ถึง 10 ปี ดิฉันพูดเรื่องพระเจ้ากับเขาตลอดเวลา ในตอนแรกๆ เขาโกรธ เพราะเขาเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้าเลย
หลังจากแต่งงานกันจนลูกชายคนโต (เปิ้ล) อายุได้ 9 เดือนแล้ว คุณวิชัยก็ประสงค์จะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐฯ ในช่วงนั้นเขายังทำงานอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม ดิฉันจึงต้องหอบลูกไปอยู่ที่นั่นด้วย เราสามคนพ่อแม่ลูกจึงไปอยู่ที่รัฐโอเรกอนด้วยกัน เพราะคุณวิชัยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน (Oregon State University) วันหนึ่ง กลุ่มคนไทยที่นั่นได้ชักชวนกันไปเที่ยวที่ภูเขาทราย (Sandoon) ที่รัฐโอเรกอน ขณะที่ดิฉันพาเปิ้ลซึ่งตอนนั้นอายุได้ 1 ขวบ ค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปจนถึงยอด ดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบที่หลัง เวลาอยู่ข้างล่างร้อนมาก แต่พอปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วกลับรู้สึกเย็นจัด ดิฉันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองผิดปกติมาก พอลงจากเขาแล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ในคืนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม ดิฉันรู้สึกเจ็บที่หน้าอกมากและหายใจดังเหมือนหอบ ดิฉันจึงบอกให้คุณวิชัยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ มิสซิสมัวร์ เพราะ เพื่อนคนนี้รักลูกเปิ้ลมาก และมักจะมาอุ้มเปิ้ลไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ เมื่อมิสซิสมัวร์มาถึง เธอก็เห็นว่าอาการของดิฉันหนักมาก จึงรีบพาไปเข้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลแห่ง หนึ่ง
ดิฉันมีอาการหายใจลำบาก หมอที่นั่นจึงรีบฉีดยาให้หนึ่งเข็มแล้วรีบพาไปเอกซ์เรย์ และบอกให้ดิฉันนอนพักที่โรงพยาบาล เพราะดิฉันมีอาการหนักมาก คือ เป็นปอดบวม เป็นหืด และเป็นหลอดลมอักเสบพร้อมๆ กัน! คุณวิชัยจึงต้องพาเปิ้ล กลับบ้าน ดิฉันมีไข้สูงมาก พวกหมอจึงกลัวว่าดิฉันจะชัก พวกเขาจึงให้ดิฉันนอน ในกระโจมที่มีออกซิเจนและเอาน้ำแข็งใส่ถังวางไว้ข้างตัว
วันรุ่งขึ้น เพื่อนๆ คนไทยอุ้มลูกเปิ้ลมาเยี่ยมดิฉัน พวกเขาอยู่ด้านนอกทำให้มองเห็นดิฉันไม่ชัด (เพราะอยู่ในกระโจม) แต่ดิฉันมองออกไปเห็นพวกเขาชัดเจน … มองเห็นลูกโบกมือไหวๆ ดิฉันจึงร้องไห้และอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดรักษาดิฉันให้หาย เพราะถ้าดิฉันตาย ลูกจะอยู่กับใคร เขาอายุแค่ขวบเดียว เท่านั้นและคุณวิชัยก็กำลังเรียนอยู่” ส่วนเพื่อนๆ คนไทยที่เข้ามาเยี่ยมและทันทีที่ ได้เห็นหน้าดิฉัน พวกเขาก็ถึงกับผงะและทำตาโต (ด้วยความตกใจ) ดิฉันจึงแปลกใจ และอยากรู้ว่าตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรจึงทำให้พวกเขาตกใจ ภายหลังจึงรู้ว่าคนที่ เป็นปอดบวมนั้น ปอดจะทำงานไม่ปกติ เป็นผลให้น้ำในตัวแห้ง หน้าตาดิฉันจึงดูไม่ได้ เพราะแก้มตอบเห็นแต่จมูก และยังผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะพวกหมอดูแลดิฉันเป็นอย่างดี ดิฉันจึงหายภายใน 7 วัน ซึ่งตามความคิดของหมอนั้น ดิฉันอาจจะต้องนอนในโรงพยาบาล ถึง 2 สัปดาห์ แต่คุณวิชัยเริ่มวิตกกังวลเพราะค่ารักษาพยาบาลแพงมาก เรามี เงินเพียงเล็กน้อย พอดิฉันเห็นหน้าเขา ดิฉันก็รู้ว่าเขาเป็นกังวลเรื่องนี้ ดิฉันจึงปลอบใจ เขาว่า “พระเจ้าจะช่วย ไม่ต้องกังวลหรอก” แต่เขากลับยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้น
ดิฉันจึงเริ่มอธิษฐานขอเงินจากพระเจ้าสำหรับค่ารักษาพยาบาล เมื่อคุณวิชัย กลับบ้าน เพื่อนๆ ก็ผลัดเวรกันรับลูกเปิ้ลไปดูแล พอคุณวิชัยกลับมาหาดิฉันในวันรุ่ง ขึ้น เขาบอกดิฉันว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาจากกรมสรรพากรของอเมริกา เพื่อ ส่งเงินคืนมาให้ประมาณ 50 เหรียญ (ตอนนั้น 1 เหรียญ = 20 บาท) ซึ่งพอจ่ายค่า เช่าบ้าน แต่ยังไม่พอสำหรับค่าโรงพยาบาล
เงิน 50 เหรียญนี้เป็นเงินภาษีที่คุณวิชัยจ่ายให้กับกรมสรรพากร เพราะมีช่วงหนึ่งที่เขาว่างจากการเรียน เขาจึงออกไปหารายได้พิเศษโดยทำงานเก็บผลเบอร์รี่ต่างๆ
ต่อมาเพื่อนๆ คนไทยประมาณ 20 กว่าคนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอนได้รวบรวมเงินก้อนหนึ่งแล้วนำมาให้เรา (ซึ่งเราไม่เคยบอกใครเลยว่าเราต้องการเงิน) และจำนวนเงินที่ได้มานั้นก็พอดีกับที่ต้องจ่ายค่าโรงพยาบาล! ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือของพระองค์ที่มาถึงเราไม่เคยสาย ดิฉันจึงบอกคุณวิชัยว่า “เห็นไหม พระเจ้าช่วยเรื่องเงินแล้ว!” แต่เขากลับตอบว่า “มันฟลุ๊คต่างหาก” เขาไม่ยอมเชื่อเรื่องพระเจ้าเลย และทุกครั้งที่พูดเรื่องพระเจ้า เขาจะโกรธมาก
วันหนึ่ง ดิฉันรับท่าทีหยิ่งๆ ของเขาไม่ได้ จึงถามเขาว่า “เมื่อไหร่คุณจะมาเป็นคริสเตียน” เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นเขาตวาดพลางกระทืบเท้าตอบว่า “ชาตินี้ผมจะไม่มีวันเป็นคริสเตียนหรอก!”
จากนั้นมาดิฉันก็อธิษฐานเพื่อเขาทุกวัน โดยทูลพระเจ้าว่า “ขอให้คุณวิชัยได้ มารู้จักพระองค์ เพื่อเวลาพูดเรื่องของพระเจ้าจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก” เพราะตาม ปกติแล้วเราจะไม่ทะเลาะกัน เราจะพูดจากันดีๆ แต่พอพูดเรื่องพระเจ้าทีไร เราจะทะเลาะกันทุกครั้งไป จนท้ายที่สุด ดิฉันก็ไม่พูดเรื่องพระเจ้ากับเขาอีก แต่มอบเขาไว้ให้พระเจ้าทรงจัดการเอง
อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างนั่งทานของว่างด้วยกันที่บ้าน จู่ๆ ดิฉันก็พูดขึ้นมาว่า “น่าเสียดายนะ ถ้าเราตายจากกัน เราคงจะไม่ได้พบกันอีก” เขาจึงถามดิฉันว่า “ทำไมล่ะ” ดิฉันก็ตอบว่า “ดิฉันรู้จักพระเจ้า พระองค์คงจะรับดิฉันไปอยู่บนสวรรค์ ด้วย แต่คุณไม่รู้จักพระเจ้า คุณจะไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ได้อย่างไร” คำตอบนี้ทำ ให้คุณวิชัยเงียบ ในภายหลังเมื่อเขารับเชื่อพระเจ้าแล้ว เขาได้พูดขึ้นมาในวันหนึ่งว่า “ถ้าเราตาย เราก็คงพบกันอีกในสวรรค์นะ” ซึ่งตอนนี้ดิฉันคิดว่าเขาน่ารักมาก!
เมื่อคุณวิชัยรับราชการอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์ได้ 7 ปี วันหนึ่งเขาได้เป็นผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมไปประชุมที่ประเทศเยอรมนี และได้พบบุคคลหนึ่งในที่ประชุมนั้น เขาผู้นี้ทำงานอยู่ในบริษัท โคคา-โคลา ประเทศไทย ดังนั้นเมื่อกลับมากรุงเทพฯ แล้ว ในปี พ.ศ. 2512 คุณวิชัยจึงตอบรับคำเชิญจากท่านผู้นี้ให้เข้าทำงานที่บริษัทโคคา-โคลา เอ็กซปอร์ตคอร์ปอเรชั่น ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้
ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทนั้น คุณวิชัยต้องเดินทางตลอดปี พ.ศ. 2512 โดยไป ประเทศลาว เขมร เวียดนามใต้ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งในเวลานั้นมีสงครามเกิดขึ้นทั้งในเขมรและเวียดนามอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดิฉันวิตกกังวลมาก เพราะทุกครั้งที่เขาไป เราจะไม่ทราบว่าเมื่อไรเขาจะได้กลับมา
ในปี พ.ศ. 2513 เมื่อดิฉันคลอดลูกชายคนที่สองแล้ว ดิฉันจึงต้องดูแลลูกถึง 2 คน และคุณป๋าของดิฉันก็มาเสียชีวิตในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้นอีก ทำให้ ดิฉันเป็นทุกข์มาก บวกกับต้องกังวลใจที่คุณวิชัยไปทำงานอยู่ในประเทศที่กำลังเกิดสงคราม
ช่วงที่เวียดนามใต้กำลังจะแตกในปี พ.ศ. 2518 นั้น คุณวิชัยก็ยังต้องเดินทางไป ประเทศนั้นบ่อยมากเพราะเครื่องดื่มโคคา-โคลาขายดีมาก และปัญหาก็มีมาก ทำให้หลายครั้งที่เขาเกือบถูกพวกเวียดกงจับตัวในระหว่างทำงานอยู่ตามเมืองต่างๆ และหลายครั้งที่เขาต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดจากกระสุนปืนและระเบิดของพวกเวียดกง ครั้งหนึ่ง คุณวิชัยเดินทางโดยรถยนต์และกำลังจะข้ามสะพานใหญ่เข้าสู่ตัวเมืองไซง่อน พวกเวียดกงยึดสะพานได้สำเร็จ (พวกนี้คงดำน้ำมาตามลำน้ำโขงและโผล่หัวขึ้นมาใต้สะพาน) รถที่คุณวิชัยนั่งอยู่จึงต้องถอยหลังกลับอย่างรวดเร็วเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์ คุณวิชัยจึงกลายเป็นฮีโร่ของบริษัทโค้กในสมัยนั้น
ก่อนเวียดนามใต้แตกไม่กี่วัน ดิฉันนอนไม่ค่อยหลับเพราะเป็นห่วงเขามาก ดิฉันลุกขึ้นนั่งอธิษฐานให้เขาแทบจะตลอดคืน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงฟังคำ อธิษฐานของดิฉัน เพราะคราวนี้คุณวิชัยเดินทางไปนานเกือบหนึ่งเดือน เมื่อเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ ตามปกติแล้วดิฉันจะไปรับเขาที่สนามบินดอนเมือง และคำถามแรกที่เขามักจะถามคือ “ลูกๆ เป็นอย่างไรบ้าง … ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” แต่วันนั้น ที่ดิฉันไปรับเขา เขากลับมองหน้าดิฉันตรงๆ แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “God is real!” พระเจ้ามีจริง! (ตอนนั้นเขายังไม่ได้เปิดใจอย่างเต็มที่ แต่เริ่มแสวงหาพระเจ้า เพราะต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาเรื่องเงิน)
เกือบทั้งคืนในคืนนั้น เขาได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ดิฉันฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างที่เขาอยู่ที่เวียดนาม
ก่อนจะกลับมายังกรุงไซง่อน ขณะคุณวิชัยทำงานอยู่ที่ดานังซึ่งตั้งอยู่ทาง ตอนเหนือ เมืองนี้ถูกพวกเวียดกงล้อมไว้และพร้อมจะเข้ายึด เมืองดานังเป็นที่ตั้ง ฐานทัพใหญ่ที่สุดของทหารอเมริกันในเวียดนามใต้ คืนนั้นผู้คนหนีออกจากตัวเมือง กันเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ดานังกลายเป็นเมืองร้าง ตามถนนหนทางไม่มีรถหรือคนเลย รุ่งขี้นตอนเช้าประมาณตีห้า คุณวิชัยได้ไปที่โรงงานโคคา-โคลา ปรากฏว่าโรงงานปิด มีแต่ยามเฝ้าอยู่คนเดียว พอประมาณ 7 โมงเช้าผู้จัดการโรงงานเข้ามาและบอกให้ คุณวิชัยรีบไปสนามบินทันที และที่สนามบินก็มีคนเต็มไปหมด เพราะเมืองดานัง กำลังจะถูกเวียดกงยึด คุณวิชัยจึงหนีออกจากดานังสู่กรุงไซง่อนได้สำเร็จอย่าง หวุดหวิด โดยการช่วยเหลือของนายตำรวจใหญ่ของดานัง เพราะที่นั่งของเครื่องบิน มีจำกัด และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นกรุงไซง่อนก็กำลังจะถูกพวกเวียดกงยึดเช่น เดียวกัน สินค้าทุกชนิดในไซง่อนราคาถูกมากเหมือนได้เปล่าแต่ก็ไม่มีคนซื้อ และ เสียงปืนเสียงระเบิดก็ดังตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งน่ากลัวมาก
ก่อนกรุงไซ่ง่อน (เมืองหลวงของเวียดนามใต้) จะแตกไม่กี่วัน ก็มีระเบิดลง อย่างหนัก คุณวิชัยได้พักอยู่ในโรงแรมกลางไซง่อน วันหนึ่งมีระเบิดดังรอบๆ ตัว ทำ ให้กระจกในห้องพักของเขาแตกหมด เมื่อมองลงไปข้างล่าง เขาก็เห็นคนวิ่งหนีกัน อลหม่าน เขาจึงเกิดความกลัว … คิดว่าตัวเองจะได้กลับบ้านหรือไม่ ความกลัวทำให้ เขาคิดถึงชีวิต และเป็นครั้งแรกที่เขาคุกเข่าลงข้างเตียงและอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง โปรดช่วยผมให้ปลอดภัยและได้กลับบ้านด้วย!”
คืนนั้นเอง ขณะคุณวิชัยกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ตอนประมาณเที่ยงคืน เขาได้รับนิมิตโดยฝันเห็นพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในห้องพักของเขา รอบๆ พระ วรกายของพระองค์มีแสงรัศมีสวยงามมาก พระองค์ทรงดำเนินมาใกล้เตียงที่เขานอน พลางยกพระหัตถ์ที่มีรอยตะปูตรงฝ่ามือขึ้น แล้วตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า!” เขาจึงตกใจตื่นแล้วลุกขึ้นนั่งพลางสงสัยว่า เขายังไม่ได้รับเชื่อ พระเยซูอย่างเป็นทางการ แต่ทำไมพระองค์จึงเสด็จมาหาเขาและให้กำลังใจเขา ในสถานการณ์อย่างนี้ ความจริงแล้ว ในสถานการณ์เลวร้าย คุณวิชัยจะทำสิ่งหนึ่ง คืออธิษฐานขอความคุ้มครองและการทรงนำจากพระเจ้า ตามที่ดิฉันและเพื่อน คริสเตียนเคยให้คำแนะนำ และเพราะเขาไม่ได้เชื่อในพระอื่นใดเลยนอกจากเชื่อ มั่นแต่ตนเอง
วันหนึ่ง ขณะกำลังเดินทางออกจากเมืองควินอนมายังกรุงไซง่อนโดย เครื่องบินลำเล็กซึ่งบรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 30 คน และเป็นเครื่องบินเก่าสมัย สงครามโลกครั้งที่สอง ขณะเครื่องบินกำลังจะร่อนลงจอดที่สนามบิน ก็เกิดมีพายุ และฝนตกหนัก เครื่องบินพยายามลงจอดหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะพายุแรง และฝนตกหนักมองไม่เห็นสนามบิน ตัวเครื่องบินถูกพายุพัดไปมาเหมือนใบไม้ เครื่องบินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตลอดเวลาเหมือนกับจะพังทลายออกเป็นชิ้นๆ ผู้โดยสารนั่งไม่ได้ต้องลุกขึ้นยืนโหนเชือกที่จัดไว้ให้สำหรับมือยึด ทุกคนเมาเครื่องบิน และหลายคนอาเจียน ประตูห้องน้ำบนเครื่องบินหลุดไปกองอยู่บนพื้น ทุกคนตกใจ และคิดว่าต้องตายแน่ ในที่สุด กัปตันประกาศว่าเขาจำเป็นต้องนำเครื่องลงเพราะ น้ำมันใกล้จะหมดแล้ว และขอให้ทุกคนเตรียมตัวรับกับภาวะฉุกเฉิน นั่นคือเครื่องบิน อาจจะตก ในเวลานั้นทุกคนกลัวมาก ในยามวิกฤติ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณวิชัยสามารถ ทำได้คืออธิษฐานขอความเมตตาจากพระเจ้า ถึงแม้ในเวลานั้นเขาจะยังไม่รู้จัก พระองค์เป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่เขาได้ยิน ได้ฟัง และให้ความสนใจมากที่สุดนับตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนประจำอยู่หลายปีที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย หลังจากที่เครื่องบินบินวนเวียนเหนือสนามบิน ได้ประมาณ 15 นาที เครื่องก็ร่อนลงท่ามกลางลมพายุและฝนที่ตกหนักมากจนมอง ไม่เห็นสนามบิน ในที่สุด เครื่องบินก็ลงกระทบพื้นด้วยเสียงอันดัง ทุกคนคิดว่าต้องตายแน่ แต่ในที่สุดก็ปลอดภัย พวกเขาจึงปรบมือโห่ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ ขอบคุณพระเจ้า!
ระหว่างที่อยู่ในกรุงไซง่อน โรงงานโคคา-โคลามีปัญหามากและแต่ละปัญหา ก็ยากที่จะแก้ไข เพราะอยู่ในช่วงวิกฤติของสงคราม และคุณวิชัยก็ต้องการทำงาน ให้เสร็จโดยเร็วเพื่อกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด คุณวิชัยจึงเริ่มอธิษฐานขอพระเจ้าให้ ประทานสติปัญญาแก่ตัวเขาและลูกน้อง ให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้โดยไม่เสียเวลามากนัก
ในที่สุด ปัญหาต่างๆ ก็ได้รับการแก้ไขจนสำเร็จอย่างอัศจรรย์มากและเขาสามารถหนีออกจากเวียดนามใต้ได้ทันเวลา คุณวิชัยจึงเชื่อว่าต้องมีพระเจ้าแน่ๆ และพระองค์ก็ทรงฟังคำอธิษฐานของเขาด้วย
เมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้น คุณวิชัยจึงพร้อมจะกลับบ้านแต่กลับไม่ได้ เพราะทุกวันคนจำนวนมากจะไปรอที่สนามบินเพื่อหนีออกจากเวียดนาม เครื่องบินทุก เที่ยวจึงเต็มหมด อย่างไรก็ตาม คุณวิชัยรู้จักกับเจ้าหน้าที่ของการบินไทยคนหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เขามีที่นั่งในเครื่องบินและได้กลับประเทศไทยได้ในที่สุด หลังจากนั้น ประมาณสองอาทิตย์ เวียดนามใต้จึงถูกพวกเวียดกงยึด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณวิชัยพบหน้าดิฉันที่สนามบินดอนเมือง เขาจึงพูดว่า “God is real!” พระเจ้ามีจริง! และหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็ได้รับโทรเลข จากเวียดนามว่าไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นแล้ว … เวียดนามแตกแล้ว!
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ คุณวิชัยก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มอยากไปโบสถ์ วันหนึ่งมี การจัดงานฟื้นฟูขึ้นที่คริสตจักรใจสมาน ซอย 6 โดยมี อาจารย์ ดอน ชเลนเบิร์ก เป็น ผู้เทศนา เขาขับรถไปส่งดิฉันที่สนามหน้าโบสถ์ แต่เนื่องจากเคยพูดกับดิฉันว่า “ชาตินี้ผมจะไม่มีวันเป็นคริสเตียน!” เขาจึงรู้สึกอายไม่กล้าเข้าไปในโบสถ์ แต่นั่งคอย (และฟังเทศน์) อยู่ในรถ
ด้านหลังธรรมาสน์ที่อาจารย์ดอนเทศนานั้น มีป้ายเขียนไว้ว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะและจะเปิดให้แก่ท่าน” (มัทธิว 7:7) ติดอยู่ เมื่อคุณวิชัยเห็น “จงขอแล้วจะได้” เขาก็นึกถึงตัวเองว่า เขาจะขอได้อย่างไรเพราะเขายังไม่รู้จักพระเจ้า เลย ดังนั้น เมื่อกลับไปบ้าน เขาจึงเริ่มร้องเพลง “ฮาเลลูยา” (สรรเสริญพระเจ้า) เพราะเขาร้องเพลงอื่นไม่เป็น
วันรุ่งขึ้นมีการฟื้นฟูที่โบสถ์ใจสมานอีก คราวนี้คุณวิชัยขอไปกับดิฉันด้วย อาจารย์ได้เทศนาเรื่องสันติสุขในชีวิต เขาจึงคิดว่าทำไมตัวเขามีเงินแต่ไม่มีความสุข เลย ความสุขคืออะไรหรือ ในช่วงนั้นจิตใจของเขาว้าวุ่นสับสนมาก พออาจารย์ผู้ เทศนาถามว่าใครจะตัดสินใจต้อนรับพระเจ้า ใจหนึ่งของคุณวิชัยก็อยากออกไป แต่ อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก เขาจึงจับเก้าอี้ไว้แน่น และอธิษฐานบอกพระเจ้าว่า “ขอเวลา ให้ผมได้ศึกษาเรื่องของพระองค์มากกว่านี้อีก แล้วจึงจะรับเชื่อ”
ในช่วงนั้น เขาก็ได้ตระเวนไปตามคริสตจักรต่าง ๆ เพื่อศึกษาเรื่องของพระเจ้า ในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และร้องเพลงมากขึ้น หน้าตา ของเขาจึงเปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส จนกระทั่งพี่สาวของเขาถามว่า “วิชัย เกิดอะไรขึ้น” แต่เขาก็ไม่ตอบว่าอะไร สิ่งนี้ตรงกับข้อพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 5:17 ว่า “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
4 ] ผจญภัยกับพระเจ้า
“เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน” สดุดี 91:11
วันหนึ่งประธานใหญ่ของบริษัทโคคา-โคลาจากอเมริกาเดินทางมากรุงเทพฯ ทางบริษัทจึงได้พาเขาไปเที่ยวที่ภูเก็ต ในช่วงนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ทางภาคใต้ คุณวิชัยได้ชวนดิฉันไปเที่ยวที่นั่นด้วย โดยเราตั้งใจว่าจะไปทางรถยนต์และจะนั่งเครื่องบินกลับ
ในคืนก่อนออกเดินทาง ดิฉันได้ฝันเห็นท้องฟ้าแจ่มใส และมีเครื่องบินลำใหญ่กำลังบินอยู่ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือที่ใหญ่โตน่าเกลียดมากมากระชากเครื่องบินไป วันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทาง คุณวิชัยบอกดิฉันว่า เราจะไปทางรถยนต์ แต่ไม่สามารถกลับทางเครื่องบินได้ เพราะเครื่องบินเต็มหมด ดิฉันจึงเล่าความฝันให้ เขาฟังและบอกว่า ดิฉันคิดแล้วว่าเราคงกลับทางเครื่องบินไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี และการไปเที่ยวครั้งนี้ก็สนุกมาก
วันรุ่งขึ้น มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาบอกดิฉันว่า “คุณพรรณี คุณนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ กับภรรยาผม ส่วนผมจะกลับกับคุณวิชัยทางรถยนต์” ดิฉันก็ขอบคุณ ท่านผู้นั้นและบอกว่า “ดิฉันจะกลับกับคุณวิชัยทางรถยนต์ ขอท่านกลับกับภรรยาของท่านทางเครื่องบินเถอะค่ะ”
พวกเราเริ่มออกเดินทางจากภูเก็ตตั้งแต่เช้าประมาณ 9 โมง ขณะกำลังขับรถ ไปตามถนน จู่ๆ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นตัดหน้าเราแล้วหยุดกึกทันที รถของเราจึงชนท้ายรถคันนั้นอย่างแรง เป็นผลให้พัดลมและหม้อน้ำของรถเรามีปัญหา เราจึงต้องค่อยๆ ขับไปหาร้านซ่อมพัดลม ในระหว่างทางเราได้พบกับผู้ชายแปลกหน้าสี่คน ยืนอยู่ที่ริมถนน เราจอดรถเพื่อถามหาที่ซ่อมรถ ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นใกล้จะมืดแล้ว หนึ่งในสี่คนนั้นคิดจะปล้นเรา แต่อีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย คุณวิชัยได้ยินเขาปรึกษา กันเป็นภาษาใต้ และรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนหนึ่งในพวกนั้นได้มากระซิบบอกให้ คุณวิชัยรีบไปเพราะพวกเราจะถูกปล้น คุณวิชัยจึงสั่งคนขับรถให้ออกรถทันที ขอบคุณพระเจ้า
ในรถเรามีคนนั่งทั้งหมด 4 คน เราสองคนนั่งข้างหลัง ส่วนคนขับรถชื่อบุญสืบ ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทโคคา-โคลา และเบาะด้านหน้าข้างคนขับมีเพื่อนชาย ของเขานั่งอยู่ บุญสืบขับรถค่อนข้างเร็วเพราะฝนกำลังจะตกหนัก เมื่อขับรถไปได้ สักพักใหญ่ เวลาก็จวนจะมืดแล้ว ตอนนั้นเราขับมาใกล้ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ว แต่ปรากฏว่าหม้อน้ำรถของเรามีควันขึ้น เราจึงหยุดเพื่อจะหาที่เติมน้ำและ ซ่อมรถ แต่ไม่รู้ว่าจะหาได้ที่ไหน …
ในที่สุด ก็มีรถส่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐขับมาถึงตรงที่ที่รถเราจอดอยู่ เราจึงรีบโบกมือให้คนขับรถหยุดและรับเรา 3 คนไปด้วย ส่วนคนขับรถของเราก็ให้ค่อยๆ ขับตามไป เผื่อจะหาที่ซ่อมและเติมน้ำได้ เราสามคนจึงนั่งรถของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไป ได้สักพัก แล้วคนขับก็จอดรถให้เราลง โดยบอกว่า “ผมจะไปที่อื่น ไม่ได้ไปกรุงเทพฯ!”
เราสามคนจึงลงมายืนงงๆ ตรงข้างถนนโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืด แต่ขอบคุณพระเจ้าที่บุญสืบขับรถของเรามาทันเวลาพอดี
พวกเราจึงนั่งรถต่อจนมาถึงหัวหินแล้วฝนก็ตกหนัก เราจึงคิดกันว่าจะไปพัก ค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่พวกที่ขับรถไปยังโรงแรมนั้นมาแล้วและกำลังขับรถกลับ ต่างบอกเราเป็นเสียงเดียวกันว่า “อย่าขับรถเข้าไปในโรงแรมนั้นนะ เพราะน้ำทะเล กำลังหนุนสูงมาก” ในระหว่างนั้น ทั้งคุณวิชัยกับดิฉันก็อธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำ พาพวกเรา พระเจ้าก็ทรงนำให้เราเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นก็มาจอดรถตรง หน้าร้านซ่อมรถพอดี! ขอบคุณพระเจ้า พวกเราจึงต้องนอนค้างกันในรถ เพราะช่าง บอกว่าต้องใช้เวลาซ่อมทั้งคืน เนื่องจากรถมีปัญหาไม่สามารถขับต่อไปได้!
ดังนั้น ช่างสี่คนจึงต้องช่วยกันซ่อมรถของเราทั้งคืน พวกเขาคิดค่าซ่อมเป็นเงิน หนึ่งพันบาท จากนั้นเมื่อออกเดินทางต่อ เราก็ได้ยินเสียงประกาศทางวิทยุแจ้งว่า ช่วงไหนเดินรถได้ ช่วงไหนเดินรถไม่ได้ (คือต้องหยุด) รถติดยาวเป็นขบวนเลย คนขับก็เริ่มวิตกและพร่ำบ่นด้วยความหวาดกลัวว่าพวกเราจะตายกันหรือไม่ ส่วน เพื่อนของเขาที่นั่งมาด้วยก็กลัวเช่นกัน แต่บอกว่าถ้าจะตายก็ต้องตาย ช่วยไม่ได้ พวกเราสองคนจึงรีบปลอบพวกเขาว่า “เรามีพระเจ้า พระองค์จะช่วยให้พวกเรา กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย อย่ากลัวเลย!”
จากนั้นเราสองคนก็อธิษฐานหนักขึ้น พระเจ้าทรงดลใจให้คุณวิชัยบอกคนขับ ให้ขับต่อไปหรือให้หยุดรถ คนขับก็เชื่อและทำตามอย่างดี คนขับได้ขับรถอย่าง ระมัดระวังมาตลอดทาง เพราะน้ำป่ากำลังทำลายถนนเป็นช่วงๆ ซึ่งน่ากลัวมาก บางครั้งเราต้องหยุดรถเป็นระยะๆ นี่เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นมาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พอรถจอด ดิฉันก็กระโดดลงไปดูว่าเสียงเอี๊ยดๆ ที่ได้ยินนั้นคือ อะไร ปรากฏว่าถนนแยกออกจากกัน! รถของเราอยู่บนขอบถนนด้านหนึ่ง รถบรรทุกอีกคันอยู่บนขอบถนนอีกด้านหนึ่ง ถนนที่แยกจากกันนั้นเมื่อมองลงไปน่ากลัวมาก เพราะมันกำลังถูกน้ำป่าเซาะทำลาย เมื่อเห็นเช่นนั้นขาของดิฉันก็สั่นด้วยความกลัว จากนั้นจึงรีบขึ้นรถ แล้วนั่งอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยเราทุกคนให้พ้นจาก อันตราย
ในที่สุดเราก็ขับรถมาเรื่อยๆ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว เราทั้ง สองถึงบ้านเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า คนรับใช้ของดิฉันวิ่งมาจับตัวดิฉันแล้วพูดว่า “นี่คุณผู้หญิงจริงๆ หรือคะ … เมื่อคืนหนูฝันเห็นคุณผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวเดินเข้ามา หนูจึงไปเล่าให้คุณยาย (คุณแม่ของดิฉัน) ฟัง ท่านก็บอกว่า ‘พระเจ้าจะคุ้มครอง ลูกของฉันจะไม่ตาย’” เธอจึงมาจับตัวดิฉันเพื่อให้รู้แน่ว่าดิฉันยังไม่ตาย และเป็นดิฉัน จริงๆ
สิ่งนี้เป็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยพวกเราทุกคนให้ปลอดภัย ขอบคุณพระเจ้า! ดังมีคำกล่าวไว้ในพระธรรมสดุดี 23:4 ว่า “แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตาม หุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์”
นี่คือการผจญภัยกับพระเจ้าจริงๆ
5 ] พระเจ้าสถิตใกล้ผู้ที่ร้องทูลต่อพระองค์
“พระเยโฮวาห์สถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ตามความจริง” สดุดี 145:18
วันหนึ่งในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งอยู่ในช่วงที่เรามีปัญหาเรื่องการเงินมาก ขณะที่ น้องชายดิฉันสร้างภาพยนตร์และนำออกฉายในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นช่วงที่ บ้านเมืองมีปัญหามาก ภาพยนตร์ที่ออกฉายในช่วงนั้นจึงขาดทุนอย่างหนัก เราจึงเป็นหนี้ธนาคารมากและต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง ดังนั้น เราจึงตั้งใจจะขายบ้านที่ถนนวิทยุ (ตรงข้ามโรงแรมฮิลตันในปัจจุบัน) เพื่อจะนำเงินไปใช้หนี้ธนาคาร แต่เราก็ยังหาบ้านใหม่อยู่ไม่ได้ และเรายังมีเงินไม่พอจะซื้อบ้านหลังใหม่ ตอนนั้นเราจึงอธิษฐานขอบ้านหลังใหม่จากพระเจ้า เราทุกคนอธิษฐานกันด้วยน้ำตา และบางคืนก็อธิษฐานเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ในเวลานั้นเองที่หลานคนหนึ่งของคุณวิชัยที่ชื่อ อาจารย์สุขใจ น้ำผุด ซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทราบข่าวว่าเรามีปัญหาด้านการเงิน เธอจึงมา หาเราและสอบถามเกี่ยวกับหนี้สินที่เรามี แล้วเธอก็พาเราไปหาอาจารย์ของเธอซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อจะขอยืดเวลาในการผ่อนชำระหนี้
ช่วงนี้เองที่พระเจ้าได้ทรงเจิมคุณวิชัยด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาจารย์ผู้หญิงที่ชื่อ Maude ซึ่งมาจากประเทศแคนาดา วันหนึ่งของการฟื้นฟู อาจารย์ท่านนี้ ได้ถามว่าใครต้องการจะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์บ้าง คุณวิชัยก็ยกมือขึ้นโดยไม่รู้ เลยว่าการได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เมื่ออาจารย์ Maude วางมือลงบนคุณวิชัย เขาก็เริ่มพูดภาษาแปลกๆ (เป็นภาษาสวรรค์ … เป็นการสนทนา ระหว่างเรากับพระเจ้า) เขาพูดอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะพูดเขาก็ร้องไห้ไปด้วยตลอดเวลา
เมื่อกลับมาบ้าน คุณวิชัยก็บอกว่าเขามีความสุขมาก พวกเราจึงอธิษฐานกันต่อ ซึ่งในวันนั้นมีคุณแม่ดิฉัน (คุณแม่ชื้น เปสตันยี) คุณวิชัย อาจารย์สุขใจ และดิฉัน รวมเป็นสี่คนนั่งอธิษฐานกันในห้องรับแขกที่บ้านเก่าตรงถนนวิทยุ ทันใดนั้น เราทั้งสี่คน ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น เพราะพระเจ้าตรัสผ่านคุณวิชัยเป็นครั้งแรกเป็นภาษาแปลกๆ แล้วแปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นพระบิดาของเจ้าผู้อยู่บนสวรรค์ เราได้ยินและรู้ถึงปัญหาของเจ้าแล้ว เราจะช่วยเจ้า เจ้าจงเชื่อและวางใจในเรา ไม่ใช่เชื่ออย่างเดียว แต่จงวางใจในเราด้วย เราจะแก้ปัญหาของเจ้า เราอยู่ทั้งคน เจ้าจะกลัวอะไร!” และเมื่อเราอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องบ้านอีก พระเจ้าก็ตรัสว่า “เราจะให้บ้านที่ดีที่สุดแก่เจ้า เมื่อถึงเวลา!”
คุณวิชัยได้ไปช่วยงานและรับใช้ร่วมกับอาจารย์วีรชัย โกแวร์ ที่คริสตจักรเอกมัย วันหนึ่งเราได้ขับรถตระเวนไปเรื่อยๆ เพื่อจะดูบ้านหลังใหม่ (ที่เราจะซื้อ) เพราะน้องชายดิฉันจะรื้อบ้านหลังเก่าที่ถนนวิทยุลงเพื่อจะทำทาวน์เฮาส์ขาย เพราะมีเนื้อที่กว้างขวางและติดถนนใหญ่ เราจึงไปดูบ้านเล็กๆ (เพื่อจะซื้อ) เพราะเรามีเงินไม่มาก
วันหนึ่ง หลังจากการนมัสการในตอนเช้าวันอาทิตย์ เราได้ไปดูบ้านหลังหนึ่งที่ หมู่บ้านผาสุก ถนนพัฒนาการ ซึ่งเป็นบ้านตัวอย่างหลังใหญ่สวยงามมาก และสะดุดตาสะดุดใจเรามาก เราจึงถอยหลังเพื่อเอารถเข้าไปจอดในบริเวณบ้านนั้น (ตามปกติ เมื่อไปดูบ้านหลังใด เราเพียงแต่จอดรถไว้หน้าบ้านเท่านั้น) วันนั้นเป็นวันเสาร์ เมื่อกลับมาบ้านแล้วเราสองคนก็อธิษฐานด้วยกันอีก เราทูลพระเจ้าว่า เราชอบบ้านหลังนี้มาก พระองค์จะพอพระทัยหรือไม่ และบ้านหลังนี้จะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์หรือเปล่า
พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราพอใจบ้านหลังนี้ จงรีบไปจัดการโดยเร็ว!” ดังนั้น พอถึงวันอาทิตย์ตอนเช้า เราก็ไปโบสถ์ และหลังจากโบสถ์เลิกเราก็กลับไปที่หมู่บ้านผาสุกอีก โดยไปหาผู้จัดการ เขาบอกว่าเราต้องวางเงินมัดจำ 3 แสนบาท แต่เรามีเงินเพียง 3 หมื่นบาท เราจึงได้อ้อนวอนเขาเป็นเวลานานว่าเราจะขอวางเงินมัดจำก่อน ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนกว่าบาทนั้น เราจะนำมาให้ในเร็วๆ นี้ ในที่สุด ผู้จัดการก็ใจอ่อนและยอมให้เราเซ็นสัญญาด้วยเงินเพียง 3 หมื่นบาท!
ต่อมาในวันจันทร์ เราก็ได้ไปดูบ้านที่หมู่บ้านผาสุกอีก ผู้จัดการบอกเราว่า เมื่อเช้ามีผู้ชายคนหนึ่งนำเงินสดมาให้ 1 ล้านบาทสำหรับเป็นค่ามัดจำบ้าน เพราะบ้านยังไม่เสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะโอนได้ แต่ผู้จัดการบอกเขาว่า เมื่อวาน (วันอาทิตย์) เขาได้ เซ็นสัญญาขายบ้านกับเราแล้ว เขาจึงไม่สามารถรับเงิน 1 ล้านบาทนั้นได้ พวกเราจึง เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงตรัสว่า “ให้รีบไปจัดการโดยเร็ว” เพราะไม่เช่นนั้น บ้านจะตกเป็นของคนอื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ยังไม่มีเงินจ่ายค่ามัดจำจนครบตามจำนวนได้
เนื่องจากช่วงนั้นใกล้เทศกาลคริสต์มาส เมื่อคุณวิชัยได้รับเงินเดือนบวกกับโบนัสแล้ว เราจึงสามารถนำเงินไปชำระค่ามัดจำจำนวน 3 แสนบาทได้จนหมด ขอบคุณพระเจ้า!
ในช่วงเวลานั้น ธนาคารแห่งหนึ่งก็มาขอซื้อบ้านใหม่ของเรารวมทั้งที่ดิน ละแวกนั้นเพื่อจะทำสโมสรของธนาคาร เมื่อผู้จัดการหมู่บ้านมาขอซื้อบ้านคืนจากเรา โดยจะให้กำไรเราอีกห้าหมื่นบาท แต่เราไม่ยอมขาย เพราะพระเจ้าได้ประทานบ้านให้เราแล้วและเราก็รักบ้านหลังนี้มาก
เมื่อยังตกลงกันไม่ได้ เราก็ยังไม่ได้ชำระเงินค่าบ้านเพิ่ม ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยมีเงิน เวลาผ่านไปหลายเดือนจนบ้านเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนบ้านที่เราอยู่ตรงถนนวิทยุก็เก่าและอยู่ในสภาพที่แย่มาก เนื่องจากเราคิดว่าจะย้ายกันในเร็วๆ นี้ เรา จึงไม่ได้ซ่อมแซมบ้านเก่า
วันหนึ่งเราทูลถามพระเจ้าว่า พระเจ้าจะให้เราย้ายจากบ้านเก่าเข้าไปอยู่บ้าน ใหม่ได้เมื่อไร พระเจ้าตรัสว่า “เรารักบ้านหลังนี้มาก แต่ไม่เหมาะที่เจ้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เจ้าจะย้ายออกไปเมื่อไรก็ได้ เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เราจะช่วย!”
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปกติ วันหนึ่ง เมื่อคุณวิชัยกลับมาจากที่ทำงาน เขารู้สึกเหนื่อยและท้อใจมาก เพราะเราได้จ่ายเงินจำนวนมากให้ธนาคาร และผ่อนดอกเบี้ยกับธนาคารเพื่อใช้หนี้ จนเราแทบจะไม่มีอะไรเหลือ คุณวิชัยก็ลงนอนเล่นบนพื้นในห้องนอน ทันใดนั้นเขาก็พูดภาษาแปลกๆ และแปลได้ความว่า “วันนี้เจ้าได้รับอิสระจากปัญหาการเงินแล้ว!”
วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2521 น้องชายคนรองของดิฉันได้นำเงินค่าบ้านที่ถนนวิทยุมาให้เราเป็นจำนวนถึง 1,685,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนแปดหมื่นห้าพันบาท) เพราะบ้านหลังนั้นเป็นชื่อของพวกเราสามคน คือดิฉันและน้องชายสองคน
สรรเสริญพระเจ้า!
6 ] ย้ายบ้าน การย้ายบ้านจากถนนวิทยุมาอยู่ที่หมู่บ้านผาสุก
“เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ให้หลับสบาย” สดุดี 127:2
เมื่อเราได้เงินจากส่วนแบ่งค่าบ้านเก่าที่ขายได้แล้ว เราก็นำเงินมาก่อสร้าง และตกแต่งบ้านหลังใหม่จนเสร็จเรียบร้อย และได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ที่หมู่บ้านผาสุกในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2521
วันหนึ่ง มีการจัดงานประชุมฟื้นฟูขึ้นที่สวนลุมพินี โดย อาจารย์ ดร.โช ยอง กี ซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้เทศนา ดร.โช ได้สร้างโบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่เกาหลีที่จุสมาชิกได้เป็นแสนๆ คน
เมื่อเราย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านผาสุกแล้ว เราได้เชิญอาจารย์วีรชัยให้มาร่วมงานฉลองการขึ้นบ้านใหม่ของเรา อาจารย์จึงเชิญ ดร.โช และคณะมาด้วย ซึ่งประกอบด้วย อาจารย์ จี.แอล.จอห์นสัน และ อาจารย์ เฮสตัน จากประเทศสหรัฐฯ รวมทั้ง ผู้ติดตามของ ดร. โช อีกสี่คน
เมื่ออาจารย์จอห์นสันได้อธิษฐานขอบพระคุณสำหรับอาหารและอวยพรให้ พวกเราแล้ว ดร.โช ก็ได้รับคำพยากรณ์จากพระเจ้า (เป็นภาษาอังกฤษ) โดยแปลเป็น ไทยได้ความว่า “เรา (พระเจ้า) กำลังทำงานในประเทศไทย เราจะเทพระวิญญาณลงบนประเทศไทย และจะมีคนกลับใจมากมาย ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวหนึ่งที่เราเลือกไว้สำหรับนำพระพรมาสู่ประเทศไทย”
แล้ว ดร. โช ยอง กี ก็หันมากอดคุณวิชัย และบอกว่า “นี่เป็นคำพยากรณ์จากพระเจ้า!”
7 ] ย้ายที่ทำงาน การย้ายสถานที่ทำงานจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ฮ่องกง
“จงฟังคำแนะนำและรับคำสั่งสอนเพื่อเจ้าจะได้ปัญญาสำหรับอนาคต” สุภาษิต 19:20
พระเจ้าตรัสกับเราว่า พระองค์จะส่งพวกเราทั้งครอบครัวไปอยู่ที่ฮ่องกง ดังนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 คุณวิชัยก็ได้รับคำสั่งจากบริษัทโคคา-โคลา แห่งเอเซียที่ฮ่องกงว่าให้เตรียมตัวไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในฮ่องกงในเดือนเมษายน 2522 แต่พอไปทำวีซ่า เราก็รู้ว่าเราย้ายไปในเดือนเมษายนไม่ทัน เราจึงอธิษฐานถามพระเจ้า พระองค์ก็ตรัสตอบว่า “เราจะย้ายไปในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2522” แล้วเราก็ย้ายไปอยู่ฮ่องกงในวันนั้นจริงๆ! ตอนนั้นลูกทั้งสามของเรา คือ เปิ้ล (วิชพันธุ์) ลูกชายคนโตอายุ 14 ปี, โป่ง (วิชพร) ลูกชายคนที่สองอายุ 8 ขวบ และปรางค์ (วิชุรพา) ลูกสาวคนเล็กอายุ 4-5 ขวบ
นอกจากนี้ พระเจ้ายังได้ประทานที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในฮ่องกงให้แก่พวกเรา คือ ที่ Repulse Bay Garden ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาที่ Repulse Bay เพราะเมื่อมองลงมา จากหน้าอพาร์ตเม้นท์ของเราก็จะเห็นภูเขาและทะเล และเมื่อมองลงมาจากห้องนอน ด้านหลังเวลาฝนตก ก็จะเห็นเหมือนเป็นน้ำตกลงมา ด้านหน้าอพาร์ตเม้นท์ของเรา มองเห็นทะเลและเกาะเล็กๆ พระเจ้าตรัสว่าให้เราอยู่ที่นี่
ในช่วงสามเดือนแรกเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเองบางส่วน เพราะราคาค่าเช่า อพาร์ตเม้นท์แพงเกินกว่าที่บริษัทจะจ่ายให้ได้ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสให้เราอยู่ที่นั่น เราก็เชื่อฟัง พอเดือนที่สี่ บริษัทก็ได้ออกค่าเช่าบ้านให้เราและยังจ่ายเงินค่าเช่าในสาม เดือนแรกคืนให้เราอีกด้วย ขอบคุณพระเจ้า!
เราไม่ได้ซื้อรถเพราะค่าเช่าที่จอดรถแพงมาก และก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถด้วย เพราะเราสามารถเรียกแท๊กซี่ให้มาจอดหน้าอพาร์ตเม้นท์ได้ทุกๆ 3 นาที หรือ เมื่อเดินลงมาจากภูเขา รถบัสทั้งเล็กและใหญ่ก็จอดอยู่ตรงหน้าทางลงเขาพอดี ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนของลูกๆ เพียง 5 นาที และรถโรงเรียนก็จะมารับพวกเขาตอนเจ็ดโมงเช้า
ก่อนเดินทางไปฮ่องกง ดิฉันได้ก้มลงตักน้ำโดยไม่ได้ย่อเข่า เป็นผลให้กระดูกสันหลังเคลื่อน ขาซ้ายของดิฉันจึงชาไปทั้งขา ดิฉันไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โดยต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ 2 สัปดาห์ หมอบอกว่าถ้าทำกาย ภาพบำบัดไม่หาย ก็จะต้องผ่าตัดหลัง คำอธิษฐานของบรรดาเพื่อนคริสเตียนจาก หลายคริสตจักรทำให้พระเจ้าทรงฟัง ดิฉันจึงไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
ตอนนั้นพระเจ้าไม่ได้รักษาดิฉันคนเดียว พระองค์ยังได้ทรงรักษาคุณพรรณี ดังสมัคร ด้วย เราสองคนมีชื่อเหมือนกัน แต่อยู่ห้อง 333 และ 444 ซึ่งอยู่คนละชั้น แต่คนที่ตั้งใจมาเยี่ยมดิฉัน กลับไปเยี่ยมคุณพรรณี ดังสมัคร เพราะสับสนในเรื่องห้อง ดังนั้น เราทั้งสองจึงได้รับการรักษาจากพระเจ้าจากการมาเยี่ยมเยียนและอธิษฐาน ให้กับเราทั้งคู่ของพวกเพื่อนพ้องและพี่น้องคริสเตียน พอพระเจ้าทรงรักษาดิฉันให้ หายแล้ว ดิฉันจึงกลับบ้าน แต่ก็ต้องมาทำกายภาพบำบัดทุกวันในตอนเช้า
วันหนึ่ง ก่อนไปทำกายภาพบำบัด ดิฉันแวะเข้าไปเยี่ยมคุณพรรณี ดังสมัคร ตอนนั้นเธอนั่งร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บปวดมาก เนื่องจากกระดูกทับเส้นประสาทที่คอ โดยหมอนัดผ่าตัดแล้วแต่ต้องเลื่อนเพราะหมอไม่สบายเป็นไข้หวัด (ซึ่งอาจจะทำให้ คนไข้ติดหวัดไปด้วย)
เมื่อเห็นคุณพรรณีร้องไห้ ดิฉันก็เจ็บแปลบในหัวใจมาก ดิฉันจึงร้องทูลและ อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ขอทรงโปรดเมตตารักษาคุณพรรณีอีกคนหนึ่งด้วย ทันทีที่ ดิฉันวางมือลงบนคอของเธอ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็ลงมาทันที เราทั้งสองคนตัว สั่นเหมือนมีกระแสไฟฟ้าช็อต และดิฉันกับคุณพรรณีก็พูดภาษาแปลกๆ จากนั้น ดิฉันจึงลากลับ
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักษาคุณพรรณี ดังสมัครด้วย เพราะวันรุ่งขึ้น ดิฉันไปทำกายภาพบำบัดเหมือนเคย แต่ไม่เห็นคุณพรรณีแล้ว หมอบอกว่าเธอหาย แล้ว และกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานเย็น!
ขอย้อนกลับไปยังตอนต้นเรื่อง เมื่อเดินทางไปอยู่ฮ่องกงแล้ว ขาทั้งสองข้าง ของดิฉันยังไม่แข็งแรงนัก แต่ก็ขอบพระคุณพระเจ้า เนื่องจากเราไม่มีรถ เราจึงต้อง เดินขึ้น-ลงภูเขาทุกวัน ทำให้ขาดิฉันแข็งแรงเร็วขึ้น และหลังก็หายเจ็บปวดด้วย
ตอนอยู่ฮ่องกงปีแรก คุณวิชัยยังไม่ได้รับใช้พระเจ้าแต่อย่างใด เนื่องจากฮ่องกง เป็นประตูไปสู่จีนแดง จึงมีมิชชันนารีเดินทางจากที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อมาสอนวิชา หลากหลาย พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากพวกมิชชันนารี เหล่านี้ รวมทั้งจากผู้รับใช้พระเจ้าจากที่ต่างๆ ที่จะเข้าไปประกาศข่าวประเสริฐและ นำพระคัมภีร์ไบเบิลเข้าไปในจีนแดง ซึ่งทำให้เราได้เข้าใจเรื่องของพระเจ้ามากขึ้น และเรายังได้รู้จักคริสเตียนมากขึ้นด้วย
ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2523 พระเจ้าทรงนำคุณวิชัยให้เข้าไปในจีนแดง ซึ่งในช่วงนั้น เพิ่งจะเปิดประเทศ ภายหลังจากที่ได้ปิดตัวจากโลกภายนอกถึง 30 ปี เมื่อคุณวิชัย ในฐานะนักธุรกิจได้รับความสะดวกในการเข้า-ออกประเทศจีน มิชชันนารีจึงได้ฝาก พระคัมภีร์ให้คุณวิชัยถือเข้าไปในจีนแดงบ่อยๆ ครั้งหนึ่งคุณวิชัยได้นำพระคัมภีร์ เข้าไปในจีนหลายเล่ม แล้วก็ได้แจกจ่ายไปจนเหลือสองเล่ม วันหนึ่ง คุณวิชัยได้ไป ประชุมที่เมืองเมืองหนึ่งและกำลังเตรียมตัวจะกลับฮ่องกง แต่กลับมีเหตุการณ์ ประหลาดเกิดขึ้น คือเขากำลังนั่งคอยเครื่องบินลำหนึ่งอยู่ แต่เครื่องบินลำนั้นกลับ ออกบินไปโดยไม่มีเขา คุณวิชัยจึงต้องอยู่ต่ออีก 1 วัน ในวันนั้นมีผู้ชายสองคนที่ พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มาพบเขาและรับพระคัมภีร์สองเล่มที่เหลือนั้นไป ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าจึงทรงให้คุณวิชัยเดินทางกลับได้
ในช่วงสามปีแรกที่คุณวิชัยได้เข้าไปทำงานในจีนแดงนั้น เขาประสบกับความ ล้มเหลว … ไม่สามารถเปิดโรงงานได้ตามนโยบายของบริษัท และทีมงานที่มีทั้งหมด 4 คนนั้นก็ลาออกไปถึง 3 คน ทำให้คุณวิชัยท้อใจมาก เขาจึงไปบอกเจ้านายว่าต้อง การจะขอย้ายกลับประเทศไทย หรือไม่ก็ขอลาออกเลย เจ้านายก็บอกเขาว่าให้กลับ ไปคิดให้ดีๆ โดยให้เวลาคิดใคร่ครวญถึง 2 อาทิตย์
หลังจากได้ปรึกษากับประธานบริษัทแล้ว เราสองคนก็อธิษฐานกันอย่างหนัก โดยขอการทรงนำจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสให้คุณวิชัยกลับเข้าไปในจีนแดงอีก โดยให้เปลี่ยนท่าทีในการทำงานเสียใหม่ และพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้น
ตามปกติแล้ว เมื่อคุณวิชัยเข้าไปในจีนแดงในตอนแรกๆ นั้น เขาจะเข้าไปหา คนจีนและพูดแต่เรื่องงาน พอกลับไปใหม่คราวนี้ เขาได้นำของไปไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วจึงอธิษฐานอย่างหนัก โดยขอการทรงนำจากพระเจ้า คราวนี้คุณวิชัยกลับเข้าไปผูกมิตรกับคนจีน … พูดคุยกับพวกเขาเรื่องครอบครัว … ถามทุกข์สุขของสมาชิกใน ครอบครัวของเขา แล้วยังนำเสื้อผ้า ช็อกโกแลต และขนมคุกกี้ไปฝากครอบครัวของ คนเหล่านั้นอีกด้วย จนพวกเขากลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกัน และคนจีนก็รู้สึกว่า คุณวิชัยไม่เครียดเหมือนตอนมาครั้งแรก พวกนั้นจึงแสดงความเป็นมิตรตอบ คุณวิชัย จะขอการทรงนำจากพระเจ้าตลอดไม่ว่าจะเป็นการประชุมหรือการทำงานใดๆ ผลก็คือ มีการเซ็นสัญญาสร้างโรงงานโคคา-โคลาถึง 6 แห่ง ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ใน สำนักงานที่ฮ่องกงตกใจและเรียกคุณวิชัยกลับไปซักถามว่า เขาทำอย่างไรจึงประสบ ความสำเร็จเช่นนี้
คุณวิชัยจึงกลับไปที่สำนักงานในฮ่องกงเพื่อไปเล่าวิธีการทำงานกับคนจีนแดง ให้พวกนั้นฟัง ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจีนแดงจึงเชิญคุณวิชัยไปเป็น วิทยากร ในการประชุมนานาชาติ ซึ่งมีนักธุรกิจและนักวิชาการจากทั่วโลกเข้าร่วม โดยไปบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในการเปิดตลาดในจีน คุณวิชัยได้ให้ข้อ แนะนำว่าการสร้างความสัมพันธ์และความจริงใจ (นั่นคือรักเพื่อนบ้านเหมือน รักตนเอง) ต่อผู้ร่วมทุน ทำให้เขาได้รับความสำเร็จอย่างมากในจีนแดง
8 ] อาหารหนึ่งมื้อ
“บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ” มัทธิว 5:7
วันหนึ่งเราได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากอเมริกาจาก อาจารย์ จี.แอล. จอห์นสัน ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักร The People’s Church เรารู้จักท่านมานานนับแต่ ช่วงที่ท่านมาเทศนาที่เมืองไทยกับ อาจารย์ ดร.โช ยอง กี ซึ่งเป็นศิษยาภิบาล คริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี
อาจารย์จอห์นสันได้โทรศัพท์มาบอกให้เราต้อนรับคุณหมอผ่าตัดหัวใจคน ไทยที่ชื่อ “แซม” กับภรรยาชาวอเมริกันที่ชื่อ “ลินดา” ของเขา ซึ่งจะเดินทางมาฮ่องกง และจากนั้นจะไปกรุงเทพฯ ดังนั้น เมื่อคุณหมอแซมโทรมา เราจึงเชิญเขาและภรรยา มาทานข้าวที่บ้าน เราได้พูดคุยกันหลายเรื่องบนโต๊ะอาหาร และลูกๆ ของเราก็นั่ง อยู่ที่โต๊ะด้วย จากนั้นทั้งสองก็ลากลับเพื่อเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ
เหตุการณ์นี้ได้ผ่านพ้นไป 8 ปี ตอนนั้นลูกชายคนที่ 2 ที่ชื่อ โป่ง อายุ 16 ปี เรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว และพระเจ้าตรัสว่าเขาจะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา เรา เองก็กำลังจะย้ายกลับประเทศไทยหลังจากอยู่ฮ่องกงได้ 8 ปีแล้ว พระเจ้าได้ตรัสอีกว่า “พวกเราจะกลับไปกรุงเทพฯ และจะรับใช้พระเจ้าต่อไป” ส่วนลูกชายคนโต (เปิ้ล) ซึ่ง ในช่วงนั้นเรียนจบจากสวิสเซอร์แลนด์แล้ว และจะกลับกรุงเทพฯ กับเราด้วย และ ลูกสาว (ปรางค์) จะกลับไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ พระเจ้าตรัสบอกเราว่าเราจะได้กลับ กรุงเทพฯ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2530 และทุกอย่างก็เกิดขึ้นจริงตามนั้น
ปรางค์ต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เธอพูดไทยได้ แต่อ่านและเขียนภาษาไทย ไม่ได้ เพราะเธออยู่ฮ่องกงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เมื่อกลับไปอยู่เมืองไทยแล้ว เธอจึงมี ปัญหาเรื่องภาษา และในช่วงนั้นโรงเรียนนานาชาติไม่รับเด็กไทยเข้าเรียน เพราะ ทางราชการออกกฎมาว่า เด็กไทยต้องเข้าเรียนในโรงเรียนไทย มีข้อยกเว้นให้ก็แต่ ลูกทูตเท่านั้น แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ได้เป็นลูกทูต!
เมื่อเราอธิษฐานเรื่องของปรางค์ พระเจ้าก็ตรัสว่า “ลูกสาวจะได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนร่วมฤดี” ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ที่เรียนเต็มหมดแล้ว
เมื่อเราไปติดต่อที่โรงเรียนร่วมฤดี ทางโรงเรียนได้ปฏิเสธเราถึง 3 ครั้ง แต่ พระเจ้าตรัสกับเราถึงสามครั้งว่า ลูกสาวของเราจะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ จนในที่สุด อีกสองสามวันก่อนโรงเรียนจะเปิด ทางโรงเรียนก็โทรมาบอกว่ามีที่ว่างอีก 1 ที่ ให้เรา รีบไปติดต่อ สุดท้ายแล้วโรงเรียนนี้ก็รับปรางค์เข้าเรียน เราจึงจ้างครูภาษาไทยมา สอนพิเศษให้ปรางค์ที่บ้านด้วย ส่วนลูกชายคนโตก็ได้เข้าทำงานที่โรงแรมแชงกรีล่า กรุงเทพฯ
เราพาโป่งไปเข้าเรียนที่โรงเรียนคริสเตียนแห่งหนึ่งในอเมริกา พอเสร็จธุระ แล้วเราก็กลับกรุงเทพฯ หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เราได้รับจดหมายจากโป่งซึ่งเขียน มาเล่าว่า เมื่อพวกเรากลับไปแล้ว เขาก็จัดเสื้อผ้าอยู่ในห้อง (ในหอพักนักเรียนประจำ) ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้องและแนะนำว่าตัวเองชื่อ “ลินดา” และบอกว่าลูกชาย ของเธอจะมาอยู่ห้องเดียวกับโป่ง จากนั้นเธอก็ถามชื่อโป่ง พอโป่งบอกชื่อและ นามสกุลแก่เธอ เธอก็บอกว่า “อ๋อ ฉันรู้จักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ฮ่องกง เขาชื่อ ‘วิชัย ตรังคสมบัติ’” โป่งก็บอกเธอว่า “นั่นเป็นพ่อของผมเอง!” ลินดาจึงเข้ามากอดโป่ง เพราะเธอคือภรรยาของ “หมอแซม” ที่เคยไปฮ่องกงเมื่อหลายปีมาแล้วและเราได้ เชิญพวกเขามาทานอาหารที่บ้าน
ลินดามีฟาร์มเลี้ยงม้าใหญ่โต ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เธอจะมารับลูกชายกับโป่ง ไปอยู่ด้วยและให้การดูแลโป่งเป็นอย่างดี แถมซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้และยังพาไปพบ อาจารย์จอห์นสันที่โบสถ์อีกด้วย เธอยังบอกให้ลูกชายพาโป่งไปรู้จักกับเพื่อนๆ ของเขา ดังนั้น ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ โป่งจึงได้ไปเที่ยวและได้รับการเลี้ยงดูอย่าง อิ่มหมีพีมันจากลินดา เธอโทรทางไกลมาหาดิฉันที่กรุงเทพฯ และชมโป่งว่าเป็นเด็ก ดีมาก ซึ่งเป็นแบบอย่างให้ลูกชายเธอตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือ ขอบคุณพระเจ้า! เราไม่นึกฝันเลยว่า การเชิญหมอแซมกับลินดามาทานอาหารที่บ้านเพียงมื้อเดียว จะเกิดผลตอบแทนต่อลูกชายของเรามากมายถึงเพียงนี้
โป่งเล่นฟุตบอลเก่ง ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆ และ ก็ได้นำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนมาก เป็นเหตุให้ชื่อของเขาปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือ พิมพ์บ่อยๆ โดยที่เขาจะคอยตัดรูปส่งมาให้เราดูตลอดเวลา
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำและดูแลลูกๆ ของเราในการเรียน โดยเปิ้ล ลูกชายคนโตเรียนจบวิชาการโรงแรมจากประเทศสวิสฯ แม้ว่าตอนเรียนที่นั่นจะ หนักมาก เพราะเขาต้องเรียนทั้งภาษาฝรั่งเศส และอังกฤษ แต่เขาก็จบมาได้
9 ] พระเจ้าทรงนำ เรื่องการงาน และการเงิน
“เงินเป็นของเรา และทองคำเป็นของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” ฮักกัย 2:8
คุณวิชัยได้ทำงานที่บริษัทโคคา-โคลาจนอายุครบ 60 ปี ทางบริษัทฯ ขอให้ เขาทำงานต่ออีกห้าปีในตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งในช่วงนั้นปรางค์ได้ไปเรียนวิชาการ ออกแบบเสื้อผ้าที่ประเทศอิตาลี ค่าใช้จ่ายในการเรียนและที่พักอาศัยนั้นค่อนข้าง สูงมาก เราตามใจปรางค์ให้เธอได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ปรางค์ไปเรียนที่นั่นสองปีจึงจบ
เมื่อสิ้นสุดเวลาสองปีของการทำงานกับบริษัทฯ คุณวิชัยไม่ได้รับการต่อสัญญา เพราะตอนนั้นเป็นช่วงฟองสบู่แตก (ยุคไอเอมเอฟ) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ปรางค์เรียน จบพอดีและได้กลับบ้าน ขอบคุณพระเจ้า!
คุณวิชัยทำงานที่บริษัทโคคา-โคลามาเป็นเวลา 32 ปี ก่อนเกษียณอายุ 3 ปี เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโสของบริษัท (ประจำภาคตะวันออก และตะวันตกเฉียงใต้ของเอเชีย) โดยมีบริษัทสาขาที่ต้องดูแลถึง 16 ประเทศ เขาจึง เป็นคนไทยคนเดียวที่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของบริษัทนี้ คุณวิชัยสำนึกในพระคุณ ของพระเจ้าเป็นอย่างมากที่พระองค์ได้ทรงเมตตากรุณาประทานตำแหน่งอันสูงส่ง นี้แก่เขา ตอนคุณวิชัยเกษียณจากงานในปี พ.ศ. 2540 นั้น ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ เศรษฐกิจย่ำแย่มาก
ก่อนที่เราจะย้ายจากฮ่องกงกลับมากรุงเทพฯ นั้น ดิฉันป่วยหนักเพราะเป็นโรค เกี่ยวกับภายใน ดิฉันไปหาหมอถึง 4 คน และเมื่อหมอทั้งสี่ยืนยันว่าดิฉันจะต้องเข้า รับการผ่าตัดด่วนแล้ว ดิฉันจึงคิดจะกลับไปผ่าตัดที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อเราอธิษฐานด้วย กันในวันหนึ่งซึ่งดิฉันกำลังเจ็บปวดมาก พระเจ้าตรัสกับเราว่า “เจ้าไม่ต้องผ่าตัด” ดิฉันก็หายเจ็บทันที … หายแบบอัศจรรย์!
เมื่อเรากลับมาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว เราก็รับใช้พระเจ้าต่อไป พระเจ้าทรงอนุญาต ให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงเมตตาแก้ปัญหาทุก อย่างของเรา เช่นรักษาเราให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ พระองค์ยังทรงนำเราเรื่องงาน รับใช้ เรื่องเงิน และเรื่องอื่นๆ รวมไปจนถึงเรื่องการแต่งงานของลูกๆ เรารับใช้ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ … ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์จึงทรงได้ยินสิ่งที่เราทูลขอต่อ พระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเราเสมอ
ศัตรู (มารซาตาน) ยังคอยเล่นงานดิฉันตลอดเวลาในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่พระเจ้าผู้สถิตในเรานั้นทรงยิ่งใหญ่กว่าเหล่าศัตรูและพรรคพวกของมันที่อยู่ ในโลก เราจึงมีชัยชนะอยู่เสมอ
เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ขณะเราเดินทางกลับจากโบสถ์แห่ง หนึ่งซึ่งคุณวิชัยไปเทศนานั้น ดิฉันรู้สึกเจ็บที่หน้าอกมาก และมีอาการหายใจขัด พอ กลับมาถึงบ้านก็เดินไม่ไหว ต้องให้ลูกมาช่วยพยุง อาการปวดหัวใจนั้นร้าวระบม ไปถึงไหล่ทั้งสองข้าง จึงต้องให้ลูกนวดให้พักใหญ่ๆ วันรุ่งขึ้นดิฉันจึงไปหาหมอที่ โรงพยาบาลวิภาราม หมอบอกให้ดิฉันเดินบนสายพาน พอเดินไปได้ 10 นาที ดิฉัน ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจและเหนื่อยหอบมาก
หมอสันนิษฐานว่า 1) อาจจะเป็นอาการหัวใจขาดเลือด (เลือดไปเลี้ยงไม่พอ) 2) กล้ามเนื้อแขนอาจอักเสบ หรือ 3) แก๊สในกระเพาะอาหารอาจจะดันขึ้นมา และ วิธีการที่จะรู้ได้อย่างแน่ชัดคือการฉีดสีสวนหัวใจ
พอรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ดิฉันจึงตกใจมากและยืนนิ่งสงบอยู่บน สายพานเหมือนถูกสะกดจิต ในเย็นวันนั้น รศ. พ.ญ. อุมาพร ตรังคสมบัติ ซึ่งเป็น หลานได้โทรศัพท์มาหาที่บ้าน ดิฉันจึงเล่าอาการให้เธอฟัง เธอบอกให้ดิฉันไปฉีด สีสวนหัวใจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเธอ เพราะที่นั่นมี เครื่องมือครบครัน และเธอจะแนะนำให้ดิฉันรู้จักกับ นายแพทย์วสันต์ อุทัยเฉลิม ซึ่ง เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ ดิฉันต้องรอเป็นเดือนกว่าจะได้พบคุณหมอท่านนี้
ในที่สุดดิฉันก็ไปฉีดสีสวนหัวใจในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ดิฉันยอมรับ ว่ากลัวมาก แต่คำอธิษฐานของลูกๆ ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ ตามคริสตจักรต่างๆ ทำให้ความกลัวลดลง หมอวสันต์เป็นผู้ดูแลเครื่องมอนิเตอร์ ส่วนทีมงานของท่าน เป็นผู้ฉีดสีสวนหัวใจ ภายหลังจากนั้น หมอได้เดินมาบอกดิฉันว่า “แน่นอน ไขมัน อุดตัน 2 เส้น แต่ไม่เป็นอันตรายมากเพราะเป็นที่ปลายหัวใจ รักษาด้วยการกินยาได้ ไม่ต้องทำ balloon หรือ ผ่าตัดบายพาส!” ขอบคุณพระเจ้า!
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดิฉันจึงกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องนอนพักค้าง คืนที่โรงพยาบาล ตอนขาไปนั้น นางพยาบาลบอกให้ดิฉันเตรียมเงินไป 3 แสนบาท แต่ดิฉันเสียเงินค่ายาเพียง 2,200 บาทเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคย ทรงทอดทิ้งเรา พระองค์ทรงสัญญาว่าจะสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม คุณหมอสั่งให้ดิฉันพักผ่อนมากๆ ดิฉันจึงทานอาหารเยอะๆ และพยายามนอนตลอดเวลาเพื่อให้หายเร็วๆ ดังนั้น ภายในเวลาหนึ่งเดือนหลัง จากฉีดสีสวนหัวใจ ดิฉันก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 5 กิโลกรัม! ต่อมาดิฉันจึงต้องพยายาม ลดน้ำหนัก เพราะเสื้อผ้าคับหมด และรู้สึกสบายขึ้น เวลาเดินไม่เหนื่อยหอบและเจ็บ หัวใจอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า!
เมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกัน คุณวิชัยได้ไปเทศนาที่จันทบุรี ดิฉันก็ไปด้วย ตึกที่ต้องขึ้นไปเทศนาเป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้นและไม่มีลิฟต์ ดิฉันจึงวิตกเล็กน้อยว่า ตัวเองจะเดินขึ้น-ลงไหวไหม เพราะเพิ่งไปรับการตรวจเช็คร่างกาย (แต่ไม่ต้องฉีด สีสวนหัวใจ) มาเพียงสี่เดือนเท่านั้น ดิฉันอธิษฐานขอพระเจ้าว่าอย่าให้มีปัญหาเลย ขอบคุณพระเจ้า ตอนเดินขึ้น-ลงนั้นไม่เหนื่อยและไม่เจ็บหัวใจด้วย เมื่อต้องไปพบ หมอเพื่อเช็คร่างกาย ดิฉันก็เล่าให้เขาฟังว่า ดิฉันเพิ่งไปเดินขึ้น-ลงตึกสี่ชั้นมา และมีอาการปกติดี หมอจึงสั่งงดทานยา (ซึ่งก่อนหน้านั้นหมอเคยสั่งห้ามงดยา และ ต้องทานยาจนครบ 6 เดือน) แต่นี่เพียง 4 เดือนเท่านั้นและหมอก็สั่งงดยาถึง 3 ชนิด ดิฉันขอบพระคุณพระเจ้ามาก เพราะแน่ใจว่าพระองค์ได้ทรงรักษาดิฉันให้หายแล้ว เพราะดิฉันรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาก นอนหลับดีและทานอาหารได้ และการงดยาถึง 3 ชนิดทำให้ลดรายจ่ายไปได้ถึงเดือนละหนึ่งหมื่นบาท
10 ] มารเล่นงานพวกเรา
“พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง” สดุดี 145:18
แม้หลายครั้งจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่พระเจ้าก็มักจะตรัสเตือนเราล่วงหน้าเสมอ ทำให้พวกเราพ้นจากภยันตรายทุกคราไป ขอบคุณพระเจ้า!
ตอนพวกเราอยู่ที่ฮ่องกง วันหนึ่งดิฉันได้ไปประชุมกลุ่มสตรี และตอนขากลับ ได้แวะซื้อแอปเปิลมา 4-5 ลูก เมื่อลงจากรถเมล์ แอปเปิลลูกหนึ่งได้กลิ้งตกลงไปอยู่ที่ ล้อหน้าของรถบัส ทันใดนั้นดิฉันก็ได้ยินเสียงชัดเจนในหูว่า “ก้มลงไปเก็บโดยเร็ว!” ดิฉันตกใจมากจึงร้องเรียกพระเจ้าดังๆ ว่า “พระเจ้าช่วยด้วย!” พระเจ้าตรัสกับดิฉัน ทันทีว่า “หยุดอยู่กับที่!” ดิฉันจึงยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น แล้วรถบัสคันนั้นก็แล่นไปทับ แอปเปิลลูกนั้น ซึ่งถ้าดิฉันก้มลงไปเก็บ (ตามเสียงบอกของมาร) ก็คงถูกรถบัสแล่นทับ ศีรษะเป็นแน่
สิ่งนี้เป็นบทเรียนสอนดิฉันว่า เมื่อพระเจ้าตรัส พระองค์จะทรงให้เราคิด แต่เมื่อมารพูดให้เราทำอะไร มันจะให้เรารีบทำ (โดยไม่คิด) และเราจะมึนงง คิดอะไร ไม่ออก … ทำอะไรไม่ถูก
ครั้งหนึ่งที่เราอธิษฐานด้วยกัน พระเจ้าตรัสว่า “มารมันต้องการทำร้ายเจ้า แต่ เราจะคุ้มครองพวกเจ้า ไม่มีใครจะมาทำอันตรายเจ้าได้!” และในอีกครั้งหนึ่งที่พระองค์ ทรงเตือนว่า “ระวังตัวไว้ มารจะเล่นงานเจ้า!”
มีช่วงหนึ่งดิฉันได้จ้างหญิงจีนคนหนึ่งมาทำความสะอาดบ้าน (ที่ฮ่องกง) ในวัน จันทร์ พุธ และศุกร์ ส่วนในวันอื่นๆ ดิฉันจะไปเรียนพระคัมภีร์ ไปประชุมกลุ่มสตรี หรือไปฟังผู้รับใช้จากที่ต่างๆ เทศนาสั่งสอน
วันหนึ่ง อาหมุ่ยหญิงจีนคนนี้ได้มาทำความสะอาดบ้านตามปกติ เธอมักจะวาง กระปุกเกลือไว้ข้างๆ ขวดน้ำปลา กระเทียม และพริกไทยที่ดิฉันใช้ทำกับข้าว และ วางไว้บนโต๊ะเล็กๆ ที่ใช้ทำอาหาร วันนั้นดิฉันทำสปาเก็ตตี้ให้ลูกๆ ทาน ตอนนั้น คุณวิชัยยังทำงานอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะทำอาหาร มือซ้ายของดิฉันคนสปาเก็ตตี ส่วนมือขวาก็เอื้อมไปหยิบขวด เกลือ (โดยไม่ได้หันไปดู เพราะรู้โดยอัตโนมัติว่าอะไรอยู่ตรงไหน) ขณะเอื้อมมือไป หยิบขวดเกลือและกำลังจะใส่ลงในกระทะ พระเจ้าก็ตรัสเสียงดังชัดเจนคำเดียวเป็น ภาษาอังกฤษว่า “Look!” (ดู!) ดิฉันจึงเงยหน้าขึ้นดูที่มือแล้วก็ต้องตกใจมากจน ขนลุกไปทั้งแขน และผมบนศีรษะก็รู้สึกว่าจะตั้งชันขึ้นมาด้วย เพราะกระปุกเกลือนั้น กลับกลายเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำ (คล้ายยี่ห้อวิม) เพราะทั้งสองกระปุกมีลักษณะ คล้ายคลึงกัน ต่างกันที่สี ปกติแล้วเมื่ออาหมุ่ยทำความสะอาดเสร็จแล้ว เธอจะนำ อุปกรณ์ต่างๆ ไปเก็บไว้ใต้อ่างล้างจาน แต่คราวนี้คงลืมวางกระปุกน้ำยาล้างห้องน้ำ ไว้บนโต๊ะวางเครื่องทำอาหาร (เพราะพระเจ้าทรงเตือนเราล่วงหน้าเสมอว่า มารจะ เล่นงานเรา แต่พระองค์ก็ทรงพิทักษ์รักษาเราเสมอเช่นกัน)
เมื่อดิฉันเล่าให้อาหมุ่ยฟังในวันรุ่งขึ้น เธอก็ตกใจมากถึงกับร้องไอ้หยา! ด้วย เสียงอันดัง แล้วก็ขอโทษขอโพยดิฉันหลายครั้ง เธอบอกว่าเธอแน่ใจว่าได้เก็บกระปุก น้ำยาล้างจานไว้ในตู้ใต้อ่างล้างจานแล้ว แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ข้างบนได้ ดิฉัน ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงคุ้มครองให้เราพ้นจากอันตรายและอำนาจของ มารซาตาน!
ครั้งหนึ่ง อาจารย์สุขใจ (หลานของคุณวิชัย) มาเยี่ยมเราที่ฮ่องกง วันหนึ่ง ดิฉัน อาจารย์สุขใจ และปรางค์ (ลูกสาวเรา) นั่งแท็กซี่จะไปซื้อของ อยู่ๆ รถผสมปูนคันหนึ่ง ซึ่งมีเหล็กคล้ายๆ ตะขอยื่นออกมา ตะขอนั้นได้มาเกี่ยวประตูรถแท็กซี่ที่เรานั่งอยู่ ทันใดนั้นรถแท็กซี่คันนั้นก็ถูกตะขอเกี่ยวขึ้นไป ทำให้มันหมุนติ้วอยู่กลางถนน เรา ทั้งสามคนกอดกัน (แต่ศีรษะไม่ได้ชนกัน) พลางร้องตะโกนลั่นว่า “พระเจ้าช่วยด้วย!” รถทั้งสองคันก็หยุดทันที ตำรวจวิ่งมาดูว่าเราสามคนเป็นอะไรหรือเปล่า ขอบคุณ พระเจ้าที่เราปลอดภัยไม่เป็นอะไร เนื่องจากรถแท็กซี่หมุนแรงและเร็วมาก ทำให้ ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ตกใจมาก เราได้อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครอง เราและเราก็อธิษฐานขอให้ลูกปรางค์อย่าตกใจกลัวและให้ลืมเหตุการณ์วันนั้น ขอบคุณพระเจ้า ลูกปรางค์ก็ไม่กลัวที่จะนั่งรถแท็กซี่อีก!
11 ] การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
“จงขอแล้วจะได้” มัทธิว 7:7
ดังได้เล่าแล้วว่าช่วงอยู่ที่ฮ่องกงนั้น ดิฉันป่วยหนักมากแต่ไม่ต้องผ่าตัด พระเจ้าทรงรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์ และเมื่อไม่ต้องผ่าตัดแล้ว ดิฉันก็ทูลกับ พระเจ้าว่า ถ้าจะต้องผ่าตัด ดิฉันต้องใช้เงินถึง 40,000 บาท แต่เมื่อพระเจ้าทรงรักษา และไม่ต้องผ่าตัดแล้ว ดิฉันจะขอถวาย 10% ของเงิน 40,000 บาทนั้น ซึ่งก็คือ 4,000 บาทให้ใครก็ได้ที่ขัดสนและต้องการใช้เงินจำนวนนี้ ขอให้พระเจ้าทรงนำพาด้วย
วันหนึ่ง ในระหว่างการประชุมกลุ่มสตรี พระเจ้าตรัสบอกดิฉันให้เขียนเช็คไว้ 4,000 บาท (ซึ่งเท่ากับ 1,000 เหรียญฮ่องกงในตอนนั้น) เอาไว้ในมือ ดิฉันจึงเขียนไว้ ตอนนั้นเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ (ที่ค่อนข้างเป็นคนสอดรู้สอดเห็น) เห็นดิฉันเขียนเช็ค เธอจึงชะโงกหน้ามาดูแล้วถามว่าดิฉันจะเอาเช็คให้ใคร ดิฉันไม่ตอบ จากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามากอดดิฉันหลังจากได้ฟังคำพยานว่าพระเจ้าได้ทรงรักษาดิฉันให้หายโดยไม่ต้องผ่าตัด ขณะเธอกอดดิฉันอยู่นั้น พระเจ้าก็ตรัสว่า “จง ใส่เช็คไว้ในมือผู้หญิงคนนั้น” ดิฉันจึงทำตาม ผู้หญิงคนนั้นก็ออกไปร้องไห้ข้างนอก
เมื่อกลับเข้ามา เธอก็เล่าให้ดิฉันฟังว่า เธอได้รับเชิญให้ไปประชุมที่ประเทศอิสราเอลเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และเธอก็ต้องการให้สามีได้ไปด้วยกัน แต่ยังขาดเงิน อยู่อีก 1,000 เหรียญฮ่องกง โดยพวกเขาจะต้องออกเดินทางในสัปดาห์หน้าแล้ว เธอจึงทูลขอให้พระเจ้าทรงส่งคนนำเงินมาให้เธอ 1,000 เหรียญ เพื่อเธอจะสามารถ พาสามีไปด้วยได้ และพระองค์ก็ทรงใช้ดิฉันให้มอบเช็คให้เธอ นอกจากพระเจ้าจะ ทรงช่วยเหลือดิฉันไม่ให้ต้องผ่าตัดแล้ว พระองค์ยังทรงช่วยอีกคนหนึ่งด้วย ขอบคุณพระเจ้า!
12 ] พระเจ้าทรงรักษาคุณวิชัย จากอุบัติเหตุตะปูตำ
“พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า ‘ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว’” มัทธิว 28:18
ครั้งหนึ่งก่อนเดินทางไปฮ่องกงไม่นาน และเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ที่ถนนพัฒนาการได้ไม่นานเช่นกัน คุณวิชัยได้เดินไปเหยีบตะปูเข้า เรากลัวว่าจะ เป็นบาดทะยักเพราะตะปูเป็นสนิมจึงพาเขาไปหาหมอ คุณหมอได้ตรวจสอบคุณ วิชัยว่าแพ้ยาฉีดกันบาดทะยักไหม ปรากฏว่าเขาไม่แพ้ยา หลังจากฉีดยาแล้วเขา ก็เดินทางไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ และก็เกิดอาการแพ้ยากันบาดทะยัก
อาการแพ้ของเขาคือมีผื่น … รู้สึกคันและเจ็บปวดขึ้นมาทั้งตัวและเนื้อตัว บวมไปหมด เมื่อไปหาหมอที่สิงคโปร์ หมอก็คิดว่าคุณวิชัยได้ไปทานอาหารทะเล มาจึงมีอาการแพ้ หมอจึงบอกให้เขารีบกลับบ้านเพราะถ้าช้าก็อาจจะขึ้นเครื่องบินกลับไม่ได้
คุณวิชัยบวมไปหมดทั้งตัวจนแทบจะใส่รองเท้าไม่ได้ เขาต้องใส่เสื้อคลุมตัว ไว้ขณะนั่งเครื่องบิน และเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็รีบไปหาหมอคนที่ฉีดยากัน บาดทะยักให้ คุณหมอตกใจมากเพราะได้ตรวจสอบแล้วก่อนฉีดว่าเขาไม่แพ้ยา แต่กลับไปแพ้ในตอนหลัง หมอจึงฉีดยาแก้แพ้ให้อีก 1 เข็ม
เมื่อคุณวิชัยกลับมาบ้านก็เจ็บปวดทรมานมาก แม้แต่อวัยวะภายในร่างกายก็ บวมพองหมดจนกลืนน้ำลายไม่ได้ … ต้องให้ไหลลงกระโถน หน้าตาเขาเหมือนคน เป็นโรคเรื้อน และมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ดิฉันต้องคอยใช้ครีม ทาแก้คันให้ และเมื่อกลับไปหาหมออีกครั้ง หมอยิ่งตกใจมากกว่าครั้งแรก เพราะ อาการของเขาหนักขึ้น หมอจ่ายยากินและยาทาแก้คันให้ คุณวิชัยทรมานเช่นนี้อยู่ 4 วัน
ในวันที่ 5 หมอนัดให้เขาไปเปลี่ยนยา คุณวิชัยบอกว่าเขาไม่ไป ในวันนั้นเขาได้ เข้าไปในห้องอธิษฐาน (ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ในบ้านของเรา) ตั้งแต่เช้า โดยทูลขอการ รักษาจากพระเจ้า เพราะเขาเจ็บปวดทรมานมาก เขาอธิษฐานอยู่หลายชั่วโมง จนใน ที่สุดพระเจ้าก็ตรัสว่า “เราจะรักษาเจ้าให้หายในคืนนี้!” ทันใดนั้น ความเจ็บปวดและ การคันก็หายไปอย่างอัศจรรย์
ก่อนเข้านอน เมื่อดิฉันมองหน้าเขา ก็เห็นหน้าและปากของเขายังบวมแดง เราสองคนไม่ได้พักผ่อนนอนหลับเลยตลอด 4 วันที่ผ่านมา แต่พอพระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะรักษาเขาให้หายในคืนนั้น เราจึงได้นอนหลับบ้าง เพราะอาการปวดและคัน ไม่ได้รบกวนคุณวิชัยอีกแล้ว
พอเที่ยงคืน คุณวิชัยตื่นนอนแล้วลุกขึ้นเปิดไฟ และเมื่อมองดูตัวเองในกระจก ก็เห็นว่าอาการบวมและมีผื่นคันนั้นหายไปหมดแล้ว! เขาวิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วถอด เสื้อผ้าดูก็เห็นว่าทุกอย่างหายเป็นปกติแล้ว เขาจึงร้องฮาเลลูยาสรรเสริญพระเจ้าด้วย เสียงที่ดังมาก ซึ่งปลุกทุกคนในบ้านให้ตื่นหมด ขอบคุณพระเจ้า
วันรุ่งขึ้นที่บ้านของเรามีการประชุมนมัสการ จึงมีคนมามากมาย เราก็เล่าเรื่อง นี้ให้พวกเขาฟัง หมอคนหนึ่งที่มาร่วมประชุมด้วยบอกว่า การแพ้ยาอย่างนี้อาจทำ ให้เสียชีวิตได้ เพราะอวัยวะข้างในพองบวมหมดและผิดปกติ ขอบคุณพระเจ้าที่ พระองค์ทรงรักษาคุณวิชัยให้หายด้วยพลังแห่งการอธิษฐาน
เมื่อเรากลับไปหาคุณหมอที่ฉีดยากันบาดทะยักให้คุณวิชัย โดยจะให้เขาดูว่า ทุกอย่างหายดีแล้ว หมอก็ดีใจและแปลกใจ โดยถามว่า “คุณวิชัยทำอย่างไรจึงหาย” คุณวิชัยจึงตอบคุณหมอว่า “ผมอธิษฐานขอให้พระเจ้ารักษาผมให้หาย และพระเจ้าก็รักษาให้หายแล้ว!” คุณหมอยืนงงเพราะไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใครและทำให้คุณวิชัยหายได้อย่างไร
13 ] พระเจ้าทรงรักษาคุณวิชัยจากโรคจอประสาทตาหลุดลอก
“พระเยโฮวาห์นั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือจะหยั่งรู้” สดุดี 145:3
หลังจากช่วงพักผ่อน (เมื่อกลับ) จากฮ่องกงได้ไม่นาน เราก็ไปเที่ยวปักษ์ใต้ ด้วยกัน โดยคุณวิชัยเป็นคนขับรถ เราไปกันทั้งครอบครัว (ยกเว้นเปิ้ลลูกชายคนโต ซึ่งติดธุระไปไม่ได้) เราไปพักกันที่ภูเก็ต จากนั้นก็ขับต่อไปตรังเพื่อจะไปเยี่ยม ครอบครัวของคุณวิชัยที่นั่น เนื่องจากโป่งลูกชายคนที่สองเพิ่งกลับมาจากอเมริกา (เพื่อมาเยี่ยมบ้าน) คุณวิชัยจึงไม่ให้เขาขับรถ
ก่อนเดินทาง คุณวิชัยได้บ่นว่าเขารู้สึกว่าตาของเขาผิดปกติ … เหมือนมีแสง แวบๆ อยู่ในตา เมื่อขับรถเรื่อยๆ มาถึงตรัง เวลาก็เริ่มเย็นแล้ว เขาจึงจอดรถตรง ข้างทางและบอกว่าตาข้างขวาของเขามืดมองไม่เห็น! แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะ ตรงข้ามกับที่เขาจอดรถมีคลินิกจักษุแพทย์ซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่า “ปัญหาทางตา รักษาพิเศษ” (ซึ่งไม่ใช่หมอตาธรรมดา)
พวกเราจึงให้คุณวิชัยขับรถช้าๆ มาจอดหน้าคลินิกและก็ช่วยประคองเขาเข้า ไปหาหมอ นางพยาบาลบอกเราว่าต้องคอยเพราะคุณหมอจะมาเวลาสองทุ่ม (ตอน นั้นก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว) แต่จู่ๆ นางพยาบาลก็วิ่งมาบอกว่าวันนี้คุณหมอมาเร็ว กว่าทุกวัน เราจึงได้พบหมอเร็วมาก คุณหมอบอกให้เรากลับไปผ่าตัดที่กรุงเทพฯ ด่วน เพราะคุณวิชัยมีอาการจอประสาทตาหลุดลอก (Retina Detachment) ซึ่งมีอันตราย มาก และถ้าช้าตาอาจจะบอดได้ และให้คุณวิชัยนอนเฉยๆ ห้ามกระเทือน ห้าม กระแทก และห้ามเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น จากนั้นคุณหมอจึงเขียนจดหมายเล่า อาการของคนไข้ฝากไปให้หมอที่กรุงเทพฯ และคุณหมอถามว่าใครแนะนำให้มาที่ คลินิกนี้หรือรู้จักคลินิกนี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเครื่องบินยังไม่เปิดให้บริการและรถโดยสารก็ไม่สะดวก เพราะเป็นวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2533 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ จังหวัดตรัง เราจึงโทรศัพท์ไปถึงพี่ชายของคุณวิชัยซึ่งอยู่ที่ตรัง เขาจึงส่งลูกชาย ของเขามาขับรถพาเราไปที่บ้านของเขา และเมื่อเราเล่าให้พี่ชายฟังว่าหมอไม่ให้ กระแทกกระเทือน เขาจึงติดต่อหาคนขับรถเพื่อขับพาเรากลับกรุงเทพฯ เราขอบคุณ พระเจ้าเพราะคนขับคนนี้ชำนาญทางมาก เนื่องจากเขาเป็นพนักงานขับรถโดยสาร กรุงเทพฯ-ตรัง ตรัง-กรุงเทพฯ เขาขับรถนิ่มมาก … ขับช้าๆ เรื่อยๆ จนพวกเรามา ถึงบ้านประมาณตีสาม เราจึงให้คนขับนอนพักค้างคืนที่บ้านของเรา
พอวันรุ่งขึ้น (31 ธันวาคม) เปิ้ลลูกชายคนโตจึงพาคุณวิชัยไปหาหมอที่ โรงพยาบาลรัตนิน นางพยาบาลรีบรับเขาไว้เพราะเห็นว่าอาการหนักมาก แต่ต้อง คอยหมอมาผ่าตัดให้ในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2534 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่หมอได้ เข้ามาเยี่ยมในวันที่ 1 มกราคม ซึ่งหมอบอกว่าไม่คิดจะไปเที่ยวไหน จึงแวะเข้ามา ที่โรงพยาบาล และหลังจากตรวจแล้ว หมอก็บอกให้คุณวิชัยนอนเฉยๆ เพื่อคอย ทีมของหมอที่จะมาผ่าตัดให้ในวันที่ 2 มกราคม
การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี แต่คุณวิชัยต้องนอนที่โรงพยาบาลนานถึง 10 วัน หลังจากนั้นก็ต้องกลับมานอนรักษาตัวที่บ้านอีกพักหนึ่ง
ตอนกลับมาอยู่บ้านใหม่ๆ เขาจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน ดิฉันก็บอกเขาว่า หมอยังไม่ให้ไปทำงานตอนนี้ เขาเคยทำงาน … ไม่เคยอยู่เฉยๆ ดิฉันเข้าใจเขาและ รู้สึกขำมากตอนที่เขารำคาญและโมโหพลางพูดว่า “กูละเบื่อ!”
พระเจ้าได้ทรงรักษาตาของเขาให้หาย เมื่อดิฉันได้อธิษฐาน พระเจ้าก็ตรัสใน พระธรรมอิสยาห์ บทที่ 60 ข้อ 1 ว่า “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้า มาแล้ว”
ใน ข้อ 4 ว่า “จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบ และดูเขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า” และใน ข้อ 5 ว่า “แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้นและเปรมปรีดิ์”
14 ] ฉากสุดท้ายในชีวิตของคุณแม่ชื้น
“นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:20
คุณแม่ของดิฉัน นางชื้น เปสตันยี ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 21.50 นาฬิกา รวมอายุได้ 96 ปี 9 เดือน
คุณแม่เป็นผู้มีจิตใจเมตตาอารีอย่างมาก ท่านมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ และมีความเชื่อในพระเจ้ามาก
เนื่องจากดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียว และน้องชายสองคนก็มาเยี่ยมท่านบ้างใน บางโอกาส คุณแม่จึงอยู่กับดิฉันตลอดเวลา
ช่วงหลังๆ ก่อนท่านจะเสียชีวิต เราได้ให้ท่านกลับมาอยู่บ้าน (แทนที่จะอยู่ โรงพยาบาล) โดยจ้างนางพยาบาลมาดูแลเป็นพิเศษ นางพยาบาลที่ชื่อแมวคนนี้ ดีมาก เธอดูแลคุณแม่เป็นอย่างดี ดิฉันได้พูดเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง และขอร้องให้ เธออ่านพระคัมภีร์ให้คุณแม่ฟัง ซึ่งแมวก็ทำตามตลอดเวลา
พระเจ้าทรงทราบดีถึงความรู้สึกของดิฉันที่ว่า ดิฉันมีความห่วง วิตกกังวล และ เศร้าใจตลอดเวลา ในระยะหลังๆ ตาของคุณแม่บอดทั้งสองข้าง ร่างกายก็ผอมมาก มีแต่หนังหุ้มกระดูก เมื่อมองเห็นท่านครั้งใด ดิฉันก็จะถอนหายใจอยู่เสมอ จนแมว ต้องเข้ามากอดดิฉันและพูดว่า “คุณผู้หญิงอย่าถอนหายใจบ่อยๆ นะคะ มันทำให้ หนูเศร้าไปด้วย”
วันหนึ่งประมาณ 1 เดือน 5 วันก่อนคุณแม่จะเสียชีวิต พระเจ้าได้ให้ดิฉันเห็น นิมิต ดิฉันได้เล่านิมิตนั้นให้คุณวิชัยฟังและก็ได้เล่าให้แมวฟังด้วย แมวจึงบอกว่า “เมื่อ คืนหนูก็ฝันว่า ขณะที่หนูนอนอยู่นั้นได้ยินเสียงคลิกที่ประตู หนูก็ลุกไปดูที่ประตู แต่ ประตูล็อคอยู่ และเมื่อเดินกลับมาที่เตียงคุณยาย ก็เห็นคุณยายยังหลับและยัง หายใจอยู่ จากนั้นหนูก็เข้ามานอน … คิดว่าคุณยายหายไปไหน” ส่วนดิฉันซึ่งนอน อยู่ข้างบนก็เห็นนิมิตว่า คุณแม่เปิดประตูข้างล่างและเดินขึ้นบันไดมา (ดิฉันนอน มองดูว่าคุณแม่จะทำอะไร) ในระหว่างที่ท่านเดินขึ้นมา หน้าตาของท่านเป็นสีทอง เนื้อตัวก็เป็นสีทอง มีรัศมีอยู่รอบๆ ตัวท่านซึ่งสวยงามมาก ผมสั้นสีขาวของท่าน ปลิวว่อน ท่านใส่เสื้อสีฟ้าอ่อนปนเขียวและนุ่งผ้าซิ่นสีเขียว เมื่อท่านเดินไปจนสุด บันได ท่านก็เดินเลี้ยวแล้วตรงมาที่ห้องดิฉัน จากนั้นก็เปิดประตูเข้ามา ตอนนั้นดวงตา ของท่านใสแจ๋ว รูปร่างอ้วนท้วนแข็งแรง ท่านยิ้มอย่างมีความสุขและพูดกับดิฉันว่า “ขอพระเจ้าอวยพร!” ดิฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสุขหลังจากเห็นนิมิตนั้น ในนิมิต หน้าตาท่านมีความสุขมาก แม้ตัวจริงท่านจะผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ใน นิมิตนั้นท่านอ้วนและแข็งแรง ในความเป็นจริงท่านตาบอด แต่ในนิมิตดวงตาของ ท่านสดใส ดิฉันจึงแน่ใจว่าพระเจ้าทรงปลอบประโลมจิตใจของดิฉันโดยทรงให้ เห็นนิมิตที่มีความสุขเช่นนั้น ทำให้แน่ใจว่าวิญญาณของท่านได้ไปอยู่ในสวรรค์กับ พระเจ้าแล้ว แม้ร่างกายจะยังอยู่ในโลกก็ตาม มีสองคนเห็นนิมิตนั้นในเวลาเดียวกัน ในวันเดียวกัน และต่อเนื่องกัน ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ
ในวันฝังศพคุณแม่ชื้นที่สุสาน ดิฉันขอให้คุณวิชัยเป็นคนเทศนา เมื่อตอนกำลัง จะหย่อนศพลงไปในหลุม คุณวิชัยได้อธิษฐานขอพระพรจากพระเจ้าให้แขกทุกท่าน ซึ่งตอนนั้นลมสงบมาก แต่ทันใดนั้นกลับมีลมพัดพาเอาดอกไม้จากต้นประดู่ด้าน นอกรั้ว มาตกยังที่ที่เราจะหย่อนศพลง ทำให้มีดอกประดู่ปกคลุมบริเวณนั้น และบน ศีรษะของทุกคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นก็เป็นสีเหลือง (เต็มไปด้วยดอกประดู่!) ซึ่ง เป็นการอัศจรรย์มาก ดิฉันขอบพระคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์นี้เป็นเสมือนกับพระองค์ ได้ทรงโปรยดอกไม้ลงมาบนพวกเรา บางคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่มาร่วมงาน ด้วยพูดว่า “เทวดาได้โปรยดอกไม้มาให้พวกเรา!” เราได้ถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ซึ่งก็เห็น ชัดมาก ขอบคุณพระเจ้า!
ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552 พระเจ้าทรงรับคุณแม่ชื้น เปสตันยี ไปอยู่กับ พระองค์ในสวรรค์
ในปี พ.ศ. 2553 พระเจ้าได้ประทานหลานยายอีกคนหนึ่งมาให้ดิฉัน เพราะ ปรางค์ลูกสาวเราได้คลอดลูกสาวคนแรกในวันที่ 22 พฤศจิกายน (หลังจากแต่งงาน มาแล้วถึง 11 ปี) หลานคนนี้ของดิฉันมีชื่อเล่นว่า ปราด้า (Prada) ส่วนชื่อจริงคือ “พริมสิริ” ซึ่งแปลว่าเปี่ยมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า!
ขอขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง
15 ] ประสบการณ์ชีวิตในการรับใช้พระเจ้าของ ผป.วิชัย ตรังคสมบัติ
คุณวิชัยได้รับเชื่อพระเจ้าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 ที่คริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 พระคุณและความรักของพระเจ้าทำให้คุณวิชัยต้องการรับใช้พระองค์ เขาจึงเริ่มจากการเป็นพยาน นำนมัสการ และเป็นกรรมการฝ่ายต่างๆ ทั้งในและนอก คริสตจักร หลังจากได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เขาก็เริ่มต้นชีวิต แห่งการอธิษฐานอย่างจริงจัง ทุกวันเขาจะอธิษฐานและพูดภาษาแปลกๆ เป็นชั่วโมง ต่อมาเขากล้าที่จะเผยพระวจนะตามที่พระวิญญาณทรงนำ และเริ่มวางมือรักษา โรค ของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เขามีมากขึ้น และเขาก็ได้เห็นการ สำแดงของพระเจ้าที่ชัดเจนมาก จนในที่สุดวันหนึ่งพระเจ้าตรัสให้เขาย้ายไปช่วย อาจารย์วีรชัย โกแวร์ ที่คริสตจักรเอกมัย ซึ่งความจริงในเวลานั้นเขายังไม่เคยรู้จัก อาจารย์วีรชัยเป็นการส่วนตัว เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของท่าน
ในช่วงเวลานั้น คริสตจักรเอกมัยที่อาจารย์วีรชัย โกแวร์เป็นศิษยาภิบาลอยู่ มีผู้มานมัสการมาก แต่สถานที่เล็กและคับแคบ ทำให้แออัด และไม่สามารถขยาย ออกไปได้อีก พระเจ้าจึงทรงนำอาจารย์วีรชัยและคณะกรรมการให้มีความตั้งใจจะ ซื้อที่ดินเพื่อสร้างคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังติดที่ปัญหาเรื่องเงิน อย่างไรก็ตาม อาจารย์วีรชัยและคุณวิชัยก็ได้ไปหาดูที่ดินแถวๆ ถนนพัฒนาการ และคริสตจักรได้ อธิษฐานอย่างมากในเรื่องการสร้างอาคารคริสตจักรหลังใหม่ขึ้นที่ซอยร่มเย็น พระเจ้าได้ตรัสกับคุณวิชัยว่าให้สร้างคริสตจักรใหม่ที่ใหญ่และไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน นอกจากนั้นพระเจ้ายังทรงให้คุณวิชัยได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับตัวอาคารของคริสตจักรใหม่ ที่ชัดเจนมาก คุณวิชัยได้ยืนยันกับอาจารย์วีรชัยถึงการทรงนำของประเจ้าสำหรับ การสร้างคริสตจักร และทุกอย่างก็สำเร็จผลจริงในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าในระหว่างการ ก่อสร้างจะมีอุปสรรคมากมายโดยเฉพาะด้านการเงิน แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและ ทรงนำคริสตจักรผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างอัศจรรย์
คุณวิชัยและครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงก่อนคริสตจักรร่มเย็นจะเริ่มก่อ สร้างได้ไม่นาน และเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ในระหว่างการก่อสร้าง เมื่ออาจารย์ วีรชัยเผชิญกับปัญหาเรื่องเงิน พระเจ้าจะทรงทำให้คุณวิชัยรู้และให้บินจากฮ่องกง มากรุงเทพฯ เพื่อช่วยแก้ปัญหา ตอนแรกคุณวิชัยทูลพระเจ้าว่าเขาไม่สามารถเดินทาง ไปกรุงเทพฯ ได้ เพราะงานในประเทศจีนกำลังยุ่งมาก แต่พระเจ้าก็ทรงเปิดทางให้ เขาบินมากรุงเทพฯ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เพราะบริษัทโคคา-โคลา ที่กรุงเทพฯ เกิดมีปัญหาที่ต้องให้คุณวิชัยมาช่วยในเวลานั้นพอดี ปัญหาการเงินที่ อาจารย์วีรชัยต้องรับภาระอยู่ก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว รวมทั้งปัญหาที่บริษัท โค้กด้วย
เราได้ย้ายมาอยู่ฮ่องกงหลายเดือนแต่ก็ยังไม่ได้รับใช้พระเจ้า คุณวิชัยจึงทูลถาม พระองค์ว่า ทำไมพระเจ้าไม่ทรงใช้เขาให้ทำอะไรเลย พระองค์ก็ตรัสตอบว่า เวลา ยังมาไม่ถึงและให้รอ พระองค์ทรงนำคุณวิชัยมาอยู่ฮ่องกงเพื่อเรียนรู้หลายสิ่งหลาย อย่าง เพื่อจะได้กลับไปรับใช้พระเจ้าที่ประเทศไทยในภายหลัง และพระองค์จะใช้ คุณวิชัยในการเทศนา ฮ่องกงเป็นฐานสำคัญในการทำพันธกิจของพระเจ้า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการนำพระกิตติคุณเข้าไปสู่ประเทศจีนนั้น ฮ่องกงจะเป็นฐานขององค์กร ต่างๆ ในการทำพันธกิจ ฮ่องกงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทโคคา-โคลาที่ รับผิดชอบประเทศต่างๆ ในเอเซียหลายสิบประเทศ รวมทั้งประเทศจีนซึ่งได้เปิด ประเทศให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน หลังจากที่ปิดประเทศมานานถึง 30 ปี คุณวิชัย จึงมีโอกาสเดินทางไปทำงานตามประเทศต่างๆ สิบกว่าประเทศ และได้มีโอกาส ศึกษางานของพระเจ้าในประเทศเหล่านั้นด้วย เช่น ในประเทศเกาหลีใต้
จนกระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2523 ตามที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยล่วงหน้าแล้ว บริษัทโคคา-โคลาได้ส่งคุณวิชัยไปทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อเปิดตลาดโคคา-โคลา ในเวลาเดียวกันนั้น พระองค์ก็ได้ทรงนำเขาให้เป็นกรรมการขององค์กร เอเชี่ยน เอ๊าท์รีช อินเตอร์เนชั่นแนล (AOI) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง คุณวิชัยจึงเริ่มต้น งานรับใช้ที่องค์กรนี้ร่วมกับผู้รับใช้จากหลายประเทศ และหลายปีต่อมาได้รับเลือก ให้ดำรงตำแหน่งประธานขององค์กรนี้ เอเชี่ยน เอ๊าท์รีชอินเตอร์เนชั่นแนลเป็น องค์กรคริสเตียนนานาชาติ ที่มีบทบาทมากในประเทศจีน และมีวัตถุประสงค์เพื่อ ประกาศข่าวประเสริฐไปทั่วเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน คุณวิชัยดำรง ตำแหน่งประธานเรื่อยมาจนกระทั่งกลับมาอยู่ประเทศไทยแล้วหลายปี จึงได้ขอ ลาออกจากตำแหน่งนั้น เพราะไม่มีเวลาเดินทางไปประชุมในประเทศต่างๆ ระหว่าง ที่อยู่ฮ่องกง คุณวิชัยได้ร่วมรับใช้พระเจ้าที่ คริสตจักร Victory Christian Center โดย เป็นที่ปรึกษาของศิษยาภิบาลและช่วยเทศนาเป็นครั้งคราว
ตอนที่คุณวิชัยต้องเข้าไปในประเทศจีนนั้น เขาเข้าไปในฐานะนักธุรกิจของบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนจีนเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงสามารถเข้า-ออกประเทศจีนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้น มิชชันนารีก็ขอให้ช่วยเหลือพวกเขาใน เรื่องต่าง ๆ เพื่อนำพระกิตติคุณเข้าไปสู่จีน คุณวิชัยจึงได้เรียนรู้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับการรับใช้จากผู้รับใช้จากทั่วทุกมุมโลก
การเปิดตลาดโคคา-โคลาที่ประเทศจีนเป็นเรื่องยากมาก ๆ ในช่วงสามปีแรก การทำงานไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายของบริษัท ในที่สุดเพื่อนร่วมงานก็ลา ออกหมด คุณวิชัยเองก็ตัดสินใจจะลาออกหรือขอย้ายกลับประเทศไทย แต่เมื่อ อธิษฐานกับพระเจ้า พระองค์ทรงบอกให้เขาเปลี่ยนวิธีการทำงาน โดยให้พึ่งการทรง นำของพระองค์ ในที่สุด เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้ พระธรรม 1 โครินธ์ 2:9 จึงเป็นพระวจนะที่คุณวิชัยระลึกถึงเสมอในการทำงาน นั่นคือ “สิ่งที่ ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”
พระเจ้าทรงให้เราอยู่ฮ่องกงถึง 8 ปี ทั้งก่อนไปฮ่องกงและกลับจากฮ่องกง พระองค์ได้ตรัสบอกเราล่วงหน้าให้รู้ว่าเราจะไปไหน ไปทำอะไร และเมื่อไร จนกระทั่ง ปลายปี พ.ศ. 2529 พระเจ้าตรัสบอกเราล่วงหน้าหลายเดือนว่าเราจะได้กลับกรุงเทพฯ และจะได้รับใช้พระเจ้าในงานสำคัญอีก งานแรกที่พระองค์ทรงใช้คุณวิชัยคือการเป็น ผู้อำนวยการจัดงานประชุมใหญ่ของกลุ่มนักธุรกิจพระกิตติคุณสมบูรณ์นานาชาติ คุณวิชัยเป็นหนึ่งในเจ็ดคนที่ก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว บุคคลที่มีส่วน สำคัญในเวลานั้น คือคุณปรีดา จ่างตระกูล, คุณวิจิตร วงศ์เกียรติขจร และคุณไมตรี โมชดารา คุณวิชัยใช้เวลาเตรียมงานประชุมนี้ถึงหนึ่งปีเต็ม มีวิทยากรที่มีชื่อเสียง จากต่างประเทศหลายคนมาร่วมงานนี้ โดยจัดขึ้นที่โรงแรมเซ็นทรัลลาดพร้าว และ มีผู้เข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้จากทั่วโลกหลายร้อยคน ซึ่งรวมทั้งคนไทยด้วยประมาณ 2,500 คน ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อาจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ได้ขอให้ คุณวิชัยช่วยเป็นประธานสร้างคริสตจักรความหวังกรุงเทพ คุณวิชัยได้ทุ่มเทเวลา ให้กับโครงการนี้ถึง 2 ปี จนสามารถซื้อที่ดินที่คลองเตยและเริ่มการปรับปรุงสถานที่ จากนั้นจึงได้วางมือจากงานนี้ โครงการนี้ใช้เงินร้อยกว่าล้านบาท และพระเจ้าก็ได้ ทรงจัดสรรให้ทันเวลาทุกอย่าง
หลายปีต่อมาคือประมาณปี พ.ศ. 2547 พระเจ้าได้ทรงนำคุณวิชัยให้ไปรับใช้ พระองค์ร่วมกับคุณครูแถมพร เลิศกุลวัฒน์ ที่คริสตจักรเทียนสั่งในทุกวันอังคาร เขาได้เรียนรู้วิธีขับวิญญาณชั่วจากคุณครูแถมพร ในเวลานั้นพระเจ้าได้ทรงใช้เขา ในการอธิษฐานรักษาคนเจ็บป่วยและขับวิญญาณชั่วมากขึ้น ทุกวันอังคาร คุณวิชัยจะ ไปเทศนาที่คริสตจักรเทียนสั่งให้กับกลุ่มวันอังคารฟัง และเทศนาที่คริสตจักรนี้ทุก วันอาทิตย์ที่สี่ของเดือน ซึ่งได้กระทำเช่นนี้มาเป็นเวลาเกือบ 8 ปีแล้ว
ก่อนหน้าจะไปรับใช้ที่คริสตจักรเทียนสั่งนั้น อาจารย์สมร เรืองชาญ ได้มาเล่าให้เราฟังว่า ท่านได้ไปรับใช้พระเจ้าที่ต่างจังหวัด และท่านก็มาชวนคุณวิชัยให้ไปรับใช้ด้วยกัน ในที่สุดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2545 ด้วยการทรงนำของพระเจ้า (เพราะ พวกเราอธิษฐานกันอย่างมาก) พวกเราก็รวบรวมผู้รับใช้และสมาชิกจากคริสตจักร หลายแห่ง มาฝึกซ้อมร้องเพลง ซึ่งมี อาจารย์ลินดา ภรรยาของอาจารย์สมร เรืองชาญ และ ผป.สุธรรม โรจนวรกุล จากคริสตจักรความหวังใหม่ เป็นผู้ฝึก
เราจะเลือกช่วงวันหยุดราชการเพื่อสมาชิกจากโบสถ์ต่างๆ จะได้ร่วมเดินทาง ไปด้วยกันได้ กลุ่ม “คาราวาน” ของเราประกอบด้วยรถหลายคัน (ประมาณ 4-5 คัน) ขับตามกันไปเป็นขบวน สถานที่ที่กลุ่มคาราวานเคยไปประกาศและฟื้นฟูก็เช่น จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี บุรีรัมย์ เพชรบุรี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช ตรัง จันทบุรี ตราด นครปฐม สุราษฎร์ธานี แพร่ น่าน พิษณุโลก และชลบุรี บางจังหวัดเราไปรับใช้ถึง 2 หรือ 3 ครั้ง ทุกแห่งที่เราไปจะมีคริสตจักร จากจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงมาร่วมด้วยเสมอ ส่วนวันอาทิตย์ พวกเราจะแยกย้ายกัน ไปรับใช้ตามคริสตจักรต่างๆ ตามความต้องการของคริสตจักรนั้น ๆ
ครั้งหนึ่ง เราได้ไปประกาศข่าวประเสริฐและจัดงานฟื้นฟูขึ้นที่จังหวัด นครราชสีมา หลังจากนั้น เราก็เดินทางต่อไปที่ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย และ กลับมายังอุดรฯ อีกครั้ง เมื่อเราไปถึงหนองคายก็พบว่าผู้รับใช้ของโบสถ์นั้นกำลัง กังวลใจเพราะรถของท่านถูกชน ซึ่งทำให้ต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก ท่านกังวลใจ เพราะภรรยาของท่านครรภ์แก่ใกล้คลอด แต่ท่านไม่มีเงิน พวกเราที่ไปด้วยกันซึ่ง มีประมาณ 40 คนก็ได้รวบรวมเงินกันเป็นจำนวนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมอบให้ผู้รับใช้พระเจ้าท่านนั้น ท่านกับภรรยาดีใจมาก พระเจ้าไม่เคยมาสาย พระองค์ทรงพร้อมจะช่วยเหลือเราในยามยากลำบากเสมอ
อีกสถานที่หนึ่งซึ่งเราได้ไปเทศนาคือจังหวัดจันทบุรี โดยคริสตจักรต่างๆ ได้ รวบรวมผู้รับใช้และสมาชิกจากคริสตจักรในจังหวัดนั้นรวมกันกว่า 11 แห่ง มาร่วม งานประกาศข่าวประเสริฐและฟื้นฟู คริสตจักรที่มาร่วมก็ได้พาสมาชิกมาด้วย เราได้ เช่าสถานที่ที่โรงแรมหนึ่งเพื่อจะจุคนได้มาก เมื่อนมัสการเสร็จ ก็มีการกล่าวคำพยาน ชีวิต ถวายเพลงพิเศษ และการเทศนา ทุกคนมีความสุขมาก ส่วนวันอาทิตย์เราก็ แยกย้ายกันไปรับใช้ตามคริสตจักรต่างๆ
ครั้งหนึ่ง เราได้ไปประกาศข่าวประเสริฐที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง เรามาทราบ ภายหลังว่ามีหลายคนที่นั่นไม่ลงรอยกันเพราะเหตุผลบางประการ แต่เมื่อพวกเรา ไปถึง เราก็ได้อธิษฐานขอพระเจ้าประทานความรักความเข้าใจที่มีต่อกัน ขอพระเจ้า ทรงยกโทษให้พวกเขา และขอให้พวกเขาสามัคคีกัน ถ้ามีผู้ใดโกรธเคืองกันก็ขอให้ ความรักของพระเจ้าผูกพันพวกเขาด้วยกันและทำให้พวกเขาคืนดีกัน ในที่สุด พระเจ้า ทรงฟังคำอธิษฐานของเรา และทำให้คนที่โกรธกันคืนดีกัน งานรับใช้ของพระเจ้าก็ เกิดผลมากขึ้น อันเป็นผลให้คริสตจักรมีสมาชิกเพิ่มขึ้น
ต่อมา คริสตจักรพระสัญญาปากน้ำได้นำคณะนักร้องและนักดนตรีไปร่วม งานประกาศข่าวประเสริฐด้วย โดยเดินทางร่วมไปกับขบวนคาราวานของเรา และ เมื่อกลับจากการไปประกาศฯ แล้ว ทางคริสตจักรก็ได้เชิญคุณวิชัยไปเทศนาในทุก วันอาทิตย์ที่ 5 ของเดือน ซึ่งนับถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 6 ปีแล้ว
เมื่ออาจารย์สมร เรืองชาญได้ล้มป่วยลงด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก (แต่ตอนนี้อาการของท่านดีขึ้นและท่านได้ไปรับใช้พระเจ้าที่จังหวัดชัยภูมิ) การ ล้มป่วยของท่านทำให้กลุ่มคาราวานต้องหยุดดำเนินการเป็นเวลาถึง 2-3 ปี ในที่สุด คนในกลุ่มของเราก็คิดว่าพวกเราน่าจะได้ออกไปรับใช้พระเจ้าอีก เราจึงเริ่มพันธกิจ การประกาศข่าวประเสริฐและฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจังหวัดเพชรบุรีเป็นที่แรก และเมื่อวันที่ 2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เราได้ไปรับใช้พระเจ้าที่บุรีรัมย์และ อุบลราชธานี ซึ่งการไปรับใช้พระเจ้าคราวนี้ทำให้ทุกคนได้รับการหนุนใจจาก พระเจ้ามาก มีการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแต่ละคริสตจักรมาก ไม่ ว่าจะเป็นการร้องเพลง การนมัสการ การเป็นพยาน การเทศนา ซึ่งล้วนเต็มล้นไป ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า มีทั้งหมด 14 คนที่ไปรับใช้ด้วยกันคราวนี้ โดยอาศัยรถตู้ ของคริสตจักรปากน้ำและโรงแรมเอวาน่าของท่าน ปลัดสมภพ ตรีศิริพิศาล (ซึ่งดี กว่าต่างคนต่างขับรถไปกันเอง เพราะหนทางไกลมาก) พี่น้องที่ร่วมในกองคาราวาน ทุกคนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตนเอง พี่น้องเหล่านี้มาจากคริสตจักร หลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และปากน้ำ และมาจากทุกคณะนิกายด้วย ทุกคนมีใจรัก ที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง กองคาราวานประกอบด้วย ทีมนมัสการ ผู้กล่าวคำ พยานชีวิต นักร้องเพลงพิเศษ และผู้เทศนา
พระเจ้าได้ทรงเจิมคุณวิชัยให้มีของประทานด้านการวางมือรักษาคนเจ็บป่วย น้องสาวของเขาที่ชื่อ ยิ่งรัก ตรังคสมบัติ มีเนื้องอกในสมองหลายก้อน และการผ่าตัด จะเป็นอันตรายมากเพราะเนื้องอกเหล่านี้ติดเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตหรือ พิการได้ คุณวิชัยจึงอธิษฐานขอพระเจ้าทรงรักษาเธอให้หาย โดยอธิษฐานสม่ำเสมอ เช่นนี้ทุกวันเป็นเวลา 5 ปี แต่น้องสาวก็ยังไม่หาย จนวันหนึ่งเธอมาบอกว่า เธอจะไม่ ทนอีกต่อไปแล้ว เธออยากจะตาย คุณวิชัยจึงบอกให้น้องนั่งลง แล้วเขาก็วางมือลงบน ศีรษะเธอ พลางอธิษฐานขอการรักษาจากพระเจ้าเหมือนเดิม คราวนี้น้องสาวได้ สัมผัสกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า เธอตัวสั่น ร้องไห้ แล้วร้องกรี๊ดออกมา โดยบอกว่า เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต จากนั้นเธอก็หายจากอาการป่วย เธอหายมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว (เวลานี้เธออายุ 71 ปี) แม้เนื้องอกจะยังอยู่ แต่มันก็ฝ่อลง ไม่ได้ทำปฏิกิริยาอันใด เธอไม่ปวดอีกแล้ว … สามารถหลับตาได้และแข็งแรงขึ้น เราเคยพาเธอไปต่างประเทศ สองครั้งคือที่สเปนและอิตาลี เธอเดินได้เก่งกว่าเราและไม่เหนื่อยเลย และจากการ อัศจรรย์นี้ทำให้คุณวิชัยทุ่มเทในการรับใช้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางมือ รักษาคนเจ็บป่วยและขับวิญญาณชั่ว
มีคริสตจักรแห่งหนึ่งได้เชิญคุณวิชัยไปเทศนา ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งในคริสตจักรนั้น ถูกผีเข้า แต่ไม่มีใครบอกคุณวิชัย เมื่อเสร็จการประชุมแล้ว ผู้หญิงคนนั้นได้มาขอให้ คุณวิชัยอธิษฐานให้ วิญญาณชั่วในตัวหญิงคนนั้นได้ต่อยคุณวิชัยที่หน้าอก ขอบคุณ พระเจ้าที่มันไม่ได้ต่อยที่ใบหน้าเขา ไม่เช่นนั้นแล้วแว่นตาอาจจะแตกได้ คุณวิชัยเลย ขอให้ผู้ชาย 4 คนช่วยกันจับเธอไว้เพื่อขับวิญญาณชั่วต่อ ผู้หญิงคนนั้นก็อาละวาด หนักทำให้โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด แม้ชาย 4 คนยังจับไม่อยู่ ในที่สุดเมื่ออธิษฐาน ขับวิญญาณชั่วออกไปแล้ว เธอก็นอนหลับไปประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา เธอ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนไปบอกเธอว่าเธอต่อยคุณวิชัย เธอก็ร้องไห้เสียใจและเข้ามา ขอโทษ และต่อมาคุณวิชัยได้พบกับผู้หญิงคนนี้อีก เมื่อเธอเดินเข้ามาหา คุณวิชัย จึงบอกเธอว่าอย่ามาชกต่อยผมอีกนะ เธอหัวเราะและบอกว่าหายเป็นปกติแล้ว
การขับวิญญาณชั่วเป็นพันธกิจที่ชี้ชัดว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่และทรงฤทธิ์ อำนาจอย่างแท้จริง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2550 ที่อพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีวิญญาณชั่วเข้ามารบกวนทุกคืน จนทำให้ผู้พักอาศัยไม่กล้าอยู่และทยอยกันย้าย ออกไป คุณวิชัยได้ไปอธิษฐานขับจนกระทั่งผู้ที่พักในอพาร์ตเม้นท์คนหนึ่งต้องขอ ย้ายออก เพราะคนนี้กราบไหว้รูปเคารพอยู่ในห้องของตน (ตอนอธิษฐาน เราไม่รู้ว่าใน ห้องใดมีรูปเคารพ คุณวิชัยจึงอธิษฐานขับทั้งอาคาร) หลังจากการอธิษฐานขับ วิญญาณชั่วได้บอกเจ้าของรูปเคารพให้รีบย้ายออกโดยเร็วที่สุดเพราะมีคนเหมือน บาทหลวง (เป็นคำพูดของเจ้าของรูปเคารพ) มาขับไล่ เมื่อคนนี้ย้ายออกไปแล้วทุก อย่างก็สงบลง คนนี้ได้ย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่ซึ่งใกล้เคียงที่เก่า ปรากฏว่าที่ใหม่ก็ถูกวิญญาณชั่วอาละวาดแบบเดียวกัน
ประมาณปี พ.ศ. 2546 โรงแรมเอวาน่าของท่านปลัดสมภพ ตรีศิริพิศาล ได้จัด ให้มีการสอน “พระธรรมวิวรณ์” โดย อาจารย์ คิม เฮียง แท เราได้ไปร่วมเรียนและ รู้จักกับอาจารย์ท่านนี้ และท่านได้เชิญคุณวิชัยกับดิฉันและผู้รับใช้คนอื่นๆ ให้ไป ที่คริสตจักรของท่านที่เมืองแดชอน ซึ่งอยู่ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และท่าน ยังได้เชิญคุณวิชัยให้ไปเทศนาที่คริสตจักรของท่านด้วย พวกเราประทับใจที่เห็น ชาวเกาหลีรักและยำเกรงพระเจ้ามาก ที่สนามบินเราได้เห็นผู้คนมากมายยืนเกาะ กลุ่มอธิษฐานกันทั้งขาไปและขากลับ คนเกาหลีใต้เมื่อได้รับเชื่อพระเจ้าแล้ว พวก เขาจะรักพระองค์จริง และสมาชิกก็จะช่วยกันรับใช้ อาจารย์คิมยังได้เชิญเราไปยัง ภูเขาอธิษฐาน ซึ่งเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ไม่สูงนัก โดยทุกคนสามารถเดินเข้าไปในโบสถ์ ที่สร้างอยู่บนภูเขานั้นได้ พวกเขาอธิษฐานกันอย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อเห็นแล้วทำให้อด น้ำตาไหลด้วยความยินดีไม่ได้
เมื่อเรากลับมาจากเมืองแดชอนได้ไม่นาน ประมาณปี พ.ศ. 2547 เราก็ได้ รู้จักกับอาจารย์ จอง บง คิว ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรอืนซองของคณะเพรสไบทีเรียนเกาหลี ท่านบอกเราว่าท่านมีนิมิตที่จะรับใช้พระเจ้าทางภาคเหนือของไทย และจะเข้าไปในประเทศลาว เขมร และเวียดนาม รวมทั้งพม่าเพื่อประกาศข่าว ประเสริฐ และอาจารย์จองได้เชิญคุณวิชัยเข้าร่วมรับใช้ในการประกาศข่าวประเสริฐ กับท่าน โดยมีโครงการจะสร้างศูนย์เพื่อให้ผู้รับใช้พระเจ้าจากทั่วอินโดจีนได้มาพัก โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัย สถานศึกษาพระคัมภีร์ และโรงเรียนสอนอาชีพ โดยจะให้ ผู้รับใช้เข้ามาพักประมาณ 3 เดือนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อเรียนจบแล้ว ก็กลับไปรับใช้พระเจ้าในบ้านเมืองของเขา
เมื่อทนการรบเร้าของอาจารย์จองไม่ไหว คุณวิชัยจึงตัดสินใจร่วมงานกับท่าน ในฐานะประธานโครงการ ท่านได้เชิญเขาไปเทศนาที่คริสตจักรอืนซองของท่าน หลายครั้งเพื่อหาทุน และจัดงานต้อนรับใหญ่โต (ซึ่งรวมถึงผู้ที่ท่านรู้จักหลายคนที่ท่าน ได้เชิญไปเยือนกรุงโซลด้วย) และท่านได้ติดรูปโครงการที่จะทำไว้ตรงผนังโบสถ์ โดย เขียนไว้ว่า “งานสัมมนาผู้นำงานพันธกิจแม่น้ำโขง”
ชาวเกาหลีใต้ให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้าอย่างมาก โดยจัดหาที่พักระดับห้าดาวให้ ผู้รับใช้จากคริสตจักรจะมาพาเราไปรับประทานอาหารในสถานที่ที่ดีที่สุด ในเวลา ตีห้า (เวลาในประเทศไทยคือตีสาม) จะมีคนมาพาพวกเราไปโบสถ์เพื่อนมัสการ พระเจ้าตอนเช้าตรู่ พวกที่ขับรถมารับเรา บางคนเป็นนายอำเภอ บางคนเป็นข้า ราชการชั้นสูง พอเราขึ้นรถ คนมารับเราจะร้องเพลงนมัสการพระเจ้าด้วยเสียง ที่ไพเราะมาก ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย อาจารย์จองจะ เลือกคนพูดภาษาอังกฤษมาดูแลเรา เพื่อเราจะได้คุยกันรู้เรื่อง
เราอยู่ที่เกาหลีหลายวันจนเหนื่อยมาก เพราะนอกจากจะเทศนาทุกวันตั้งแต่ หกโมงเช้าแล้ว ก็ยังต้องประชุมกันทั้งวันเกี่ยวกับการทำงานพันธกิจทางตอนเหนือ ของประเทศไทย แม้เราจะเหนื่อยแต่ก็มีพลังมาก ในที่สุดโครงการทุกอย่างก็สำเร็จ พร้อมที่จะเปิดศูนย์ได้ แต่มารไม่ยอมให้งานสำเร็จได้ด้วยดี เพราะในการก่อสร้าง อาคารศูนย์พันธกิจนั้น มีชาวเกาหลีอีกพวกหนึ่งที่ประสงค์จะนำเงินมาร่วมทุนด้วย แต่อาจารย์จองไม่ยอม โดยบอกว่าชาวเกาหลีกลุ่มใหม่นี้สอนผิด … เกรงว่าจะทำให้ โบสถ์ของท่านเสียชื่อเสียง ขณะกำลังจะทำพิธีเปิดศูนย์ อาจารย์จองไม่ยอมมาร่วม พิธีด้วย ทุกอย่างจึงยุติ การคิดจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าก็ต้องจบลงอย่างน่าเศร้าใจ จากนั้นอาจารย์จองก็นำพวกเกาหลีที่มาช่วยงานกลับประเทศ ศูนย์ที่สร้างขึ้นด้วย เงินหลายล้านจึงใช้ประโยชน์ตามแผนไม่ได้ ทุกอย่างต้องหยุดหมด การก่อสร้าง ที่ใช้เงินหลายล้านบาทก็เป็นแต่เพียงความฝันที่ไม่เกิดประโยชน์อันใด ทำให้ทุกคน ที่ได้ร่วมงานเศร้าใจ เราไม่สามารถทำให้คณะชาวเกาหลีทั้งสองตกลงที่จะร่วมงานกันได้ นิมิตที่ทุกคนคิดว่าจะสำเร็จก็กลายเป็นเพียงความฝันไป สิ่งที่โครงการนี้ ได้ทำสำเร็จแล้วคือ การสร้างคริสตจักรที่เมืองศรีโสภณในเขมร ซึ่งคริสตจักรแห่งนี้ คุณวิชัยเคยไปเทศนาประกาศพระกิตติคุณ 2 คืน ทุกคืนมีคนรับเชื่อ และรวมสองคืน มีคนรับเชื่อมากกว่าหนึ่งพันคน แต่คริสตจักรไม่มีความสามารถจะเลี้ยงดูสมาชิก จำนวนมากได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโครงการลุ่มแม่น้ำโขงต้องล้มเลิกไป คุณวิชัยยังคงทำ งานทางด้านการประกาศพระกิตติคุณอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งนี้เพราะคุณวิชัย ได้มีประสบการณ์กับการสำแดงของพระเจ้ามาตลอดเวลานับแต่รับเชื่อในองค์พระ เยซูคริสต์ และประสบการณ์เหล่านั้นได้ยืนยันถึงการทรงพระชนม์อยู่และการทรง ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
การรับใช้พระเจ้าเกี่ยวกับการประกาศพระกิตติคุณที่คุณวิชัยประทับใจเป็น อย่างยิ่ง คือ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คุณวันชัย จิระไตรธาร ได้จัดงาน ประกาศพิเศษขึ้นที่สนามกีฬานิมิบุตรในหัวข้อ “คริสต์มาสมหัศจรรย์” ในวันนั้นมีทูต จากประเทศต่างๆ มาร่วมงานหลายคน มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปทั่วโลก และมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหลายล้านบาท คุณวิชัยเทศนาสั้นๆ แต่มีคนตัดสินใจ รับเชื่อเกือบ 400 คน หลังงานเลิก ผู้รับใช้และพี่น้องคริสเตียนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างมากในวันนั้น การทำให้คนกลับใจไม่ใช่ เรื่องง่าย แต่ถ้าพระเจ้าทรงเคลื่อนไหว ทุกอย่างก็จะสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขอบคุณ พระเจ้า !
ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คุณวิชัยได้รับเชิญจากคริสตจักรต่างๆ ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดให้ไปเทศนา ประกาศ-ฟื้นฟู และจัดสัมมนา คุณวิชัย รับใช้ด้วยความเต็มใจและจริงใจเพราะพระคุณของพระเจ้าที่เขาเคยได้รับมาตลอด ชีวิตแห่งความเชื่อ คุณวิชัยบอกว่าการรับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและมี ความสุขมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าทรงตอบสนองเราด้วยการทำหมาย สำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปลัดสมภพ ตรีศิริพิศาล ได้จัดงานประกาศ พิเศษขึ้นที่โรงแรมเอวานา ในหัวข้อ “พลังแห่งชีวิต” ในวันนั้นฝนตกตั้งแต่เช้ามืด และตกลงมาตลอดเวลาจนถึงบ่ายสองโมง ซึ่งเป็นเวลาที่จะเริ่มการนมัสการ พวก เราคิดว่าคงจะมีคนมาร่วมงานน้อยเพราะฝนตก แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ก่อนการนมัสการ มีคนมาร่วมงานสองร้อยกว่าคน และในวันนั้นมีคนรับเชื่อเกือบ 30 คน ทีม นมัสการมาจากคริสตจักรพระสัญญาที่ปากน้ำ ผู้กล่าวคำพยานคือ คุณมนตรี ศรไพศาล และ คุณรณิตา พนารินทร์ ส่วนครอบครัวตรังคสมบัติถวายเพลงพิเศษ และคุณวิชัย ตรังคสมบัติเป็นผู้เทศนา การประกาศในวันนั้นเป็นที่ชื่นชมยินดี ของทุกคนที่ร่วมรับใช้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านปลัดสมภพ ตรีศิริพิศาลได้จัดงานประกาศย่อยทุก สามเดือนที่โรงแรมเอวานา และมีคนกลับใจรับเชื่อพระเยซูทุกครั้ง การประกาศ แบบนี้จะมีต่อไปตามพระมหาบัญชาขององค์พระเยซูคริสต์ เพราะเมื่อเรามีใจแล้ว พระเจ้าจะประทานหนทางให้เสมอ!
ท่านผู้อ่านที่รัก เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะการรับใช้จะยังมีต่อไปในอนาคต ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่านที่ได้อ่านเนื้อหาสาระแห่งการรับใช้นี้ …