เครือวัลย์ เที่ยงธรรม แปลจาก “Christians Can’t Ignore the Uncomfortable Reality of Mental Illness”
โดย Amy Simpson ในนิตยสาร HER.MENEUTICS ฉบับ เมษายน 2013
ภาพจาก: สสส.
เมื่อไม่นานมานี้ คริสเตียนโดยเฉพาะชุมชนอีแวนเจลลิเคิลคงตะลึงงันกับข่าวว่า บุตรชายคนเล็กของริค วอร์เรนที่ชื่อแมทธิวเสียชีวิตเพราะฆ่าตัวตาย หลังจากต่อสู้กับโรคจิตเวชมาตลอดชีวิต เราไม่อาจบอกได้ว่า แมทธิว วอร์เรน ชายหนุ่มผู้เข้าถึงการบำบัดรักษา มีครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความรัก และมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์ กำลังคิดและกำลังรู้สึกอย่างไรขณะปลิดชีวิตของตนเอง แต่เราสามารถเคารพความเจ็บปวดของครอบครัวเขาได้โดยพิจารณาว่าเรามีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับผู้คนซึ่งกำลังทนทุกข์จากโรคจิตเวชในชีวิตของเราเอง
เมื่อมีข่าวการตายของลูก ริค วอร์เรนก็ได้รับมือกับ “คนเกลียดชัง” เขา ซึ่งเฉลิมฉลองการสูญเสียของครอบครัวนี้และโทษตัววอร์เรนเอง สำหรับคนส่วนใหญ่ การตอบสนองดังกล่าวเป็นเรื่องเหลือเชื่อ การเฉลิมฉลองความตายอันน่าเศร้าของบุคคลคนหนึ่งต้องมีความชั่วร้ายพิเศษ ทว่า ในการตอบสนองต่อโรคจิตเวช แม้แต่คนที่เจตนาดีก็อาจทำสิ่งที่เป็นอันตรายได้ง่ายๆ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าร้อยละ ๙๐ ของคนที่ฆ่าตัวตายป่วยด้วยโรคจิตเวช แม้ผู้ป่วยจิตเวชจำนวนมากไม่ได้เสียชีวิตด้วยเหตุนี้ แมทธิว วอร์เรนไม่ได้เป็นผู้ทนทุกข์เพียงคนเดียวที่เกิดอยากฆ่าตัวตายและลงมือทำ เขาเป็น ๑ ใน ๓๘,๐๐๐ คนในสหรัฐอเมริกาที่ตายเพราะฆ่าตัวตายในแต่ละปี ทั้งยังมีอีกหลายพันพยายามฆ่าตัวตาย คิดจะทำ หรือใช้ชีวิตอยู่กับอาการอันน่ากลัวของโรคจิตเวช
คนที่มีโรคจิตเวชบางครั้งประพฤติตัวในแนวทางที่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจและไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นมีความหมายอะไร คนที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้ารุนแรงนั้นบางครั้งนอนทั้งวัน ไม่อาจจัดการให้เกิดแรงจูงใจพื้นฐานที่จะเคลื่อนไหวได้เลย คนที่มีความผิดปกติด้านวิตกกังวลอาจเกิดกลัวจับใจอย่างไม่มีเหตุผลหรือระบุไม่ได้ว่ากลัวอะไร ความกลัวนี้ไม่เคยทำให้คนอื่นๆ หมดความสามารถอย่างที่เขาเป็น คนที่ได้ผลกระทบจากความผิดปกติแบบโรคจิตอาจเห็นสิ่งที่ไม่มีจริง ได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่ และบางครั้งก็ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรคือความเป็นจริงได้เลย
บางครั้งคนที่ป่วยด้วยโรคจิตเวชทำร้ายหรือปฏิบัติไม่ดีต่อคนที่เขารักหรือตนเอง บางคนต้องกินยาแต่หยุดกินหรือไม่ก็ไม่ยอมเริ่มกินยา บางคนดูกำลังไปได้ดี แต่แล้วกลับแสดงอาการอีกครั้งหนึ่งโดยฉับพลัน และใช่ บางคนก็พยายามจบชีวิตของตนเอง เมื่อทำสำเร็จ คนที่เขารักก็ถูกทิ้งไว้กับความสูญเสียว่างโหวงที่ไม่อาจแปะปิดได้ด้วยบัตรปลอบใจหรือคำพูดเพราะๆเกี่ยวกับว่าพระเจ้าทรงประสงค์ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งในสวรรค์
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับเรา ฉันเองเคยพยายามในส่วนของฉัน ตอนเป็นวัยรุ่น ฉันพยายามสื่อสารกับแม่ซึ่งทนทุกข์จากโรคจิตเภทในขณะที่ท่านกำลังมีอาการทางจิต ฉันพยายามสุดฤทธิ์ที่จะเข้าใจว่าทำไมแม่จึงกลัวนักและจะช่วยแม่ได้อย่างไร ต่อมา ฉันพยายามเข้าใจท่านหลังจากท่านเชื่อมาสองปีว่าได้รับการหยั่งรู้พิเศษระหว่างการนมัสการที่คริสตจักร จากนั้นก็ออกจากคริสตจักรไปหาไสยาศาสตร์ อีกครั้งหนึ่งท่านถูกตัดสินว่าก่ออาชญากรรมและติดคุก
เหตุการณ์เหล่านี้ห่างไกลจากอุปนิสัยที่แท้จริงของท่านมาก ครอบครัวของฉันเจ็บปวดแสนสาหัสกับสิ่งเหล่านี้ แต่เราไม่อาจป้องกันหรือ “แก้ไข” อันใดได้เลย และไม่สามารถเข้าใจได้เลย และจนเดี๋ยวนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรดีกับอารมณ์ความรู้สึกของฉันเองเวลาฉันรู้สึกถึงโคลนตมแห่งความโกรธ ความสงสาร ความสยดสยอง และความเศร้าผุดพลุ่งขึ้นมาอีกเมื่อคนที่ฉันรักที่สุดตัดสินใจแย่ๆ อีกครั้ง ทำผิดพลาดซ้ำอีก หรือทำร้ายคนอื่น และอาจหรือไม่อาจรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตน ถ้าท่านรับไม่รับผิดชอบ แล้วใครล่ะต้องรับผิดชอบ?
หลังๆ มานี้ฉันใช้เวลาเขียนและเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคจิตเวชและครอบครัวของพวกเขามาก ฉันต้องการเห็นคริสตจักรอ้าแขนรับคนเหล่านี้อย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน ให้สอดคล้องกับพันธกิจของเราในชีวิตนี้ คนที่ป่วยด้วยโรคจิตเวชอาจเป็นกลุ่มที่เข้าถึงยาก ด้วยเหตุที่อาการของพวกเขา แนวทางที่เขาพยายามจัดการกับความเจ็บปวด และแม้กระทั่งผลข้างเคียงจากยา ล้วนอาจทำให้เขามีพฤติกรรมที่ทำให้เราอึดอัดหรือตกใจด้วยซ้ำ
เมื่อเราเห็นอาการของโรคจิตเวช เรามักตอบสนองในแนวทางต่อไปนี้คือ
- ตีความพฤติกรรมของพวกเขาผ่านเลนส์แห่งประสบการณ์ของเราเองและสรุปเอาว่าอาการของเขานั้นหมายความว่าพวกเขาเห็นแก่ตัว เกียจคร้าน สนใจแต่ตนเอง ไม่มีวินัย หรือไม่ก็ขาดความไว้วางใจพระเจ้า
- แยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้ หวังว่าอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง ชีวิตที่สะอาดหมดจด ความเชื่อมากขึ้น ครอบครัวที่เข้มแข็ง จะแยกเราจากพวกเขาและรับประกันว่าเราไม่เสี่ยงต่อโรคนี้
- เพิกเฉยเสียและหวังว่าคนอื่นจะช่วย
- ไม่ยอมรับพวกเขา
- กลัวพวกเขา ตามปกติกลัวโดยไม่มีเหตุผล
- โทษว่าปัญหาเป็นความผิดของเขาเองและทำให้เขาอายจนต้องเงียบเสียง
- บอกให้เขาไปหาความช่วยเหลือและกลับมาเมื่อ “รักษาหายแล้ว”
- พยายามรักษาพวกเขาด้วยวิธีฝ่ายจิตวิญญาณ อย่างเช่น อ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน ซึ่งโดยด้วยมันเองไม่เพียงพอสำหรับคนที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์
- พยายามแก้ปัญหาด้วยคำตอบแบบง่ายๆและให้คำแนะนำที่ไม่เป็นประโยชน์
- พยายาม “แก้ไข” พวกเขาด้วยการให้การปรึกษาแบบสมัครเล่น
เมื่อเราตอบสนองในแนวทางนี้ เราก็ทำให้ตนเองไร้ความหมายสำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือของเรา เราส่งข่าวสารออกมาว่า ความเชื่อของเราไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายสำหรับการทนทุกข์แบบนี้ เราเสนอแนะว่ามีคำตอบง่ายๆ สำหรับการทนทุกข์ของพวกเขา แต่ด้วยเหตุบางอย่างคำตอบนั้นเขาไม่อาจจับยึดไว้ได้ คงเป็นเพราะพวกเขาไม่คู่ควรแต่เรานั้นคู่ควร เราบ่งนัยว่าพระเจ้าทรงพร้อมที่จะดำเนินไปจากคนที่ตกอยู่ในความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้มาจากคนที่เจตนาดีเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ถ้าอย่างนั้น เราควรทำอะไร? ต่อไปนี้เป็นการตอบสนองที่ดีกว่าสองสามอย่าง
- ถ้าเราไม่รู้ว่าการอยู่กับโรคจิตเวชเป็นอย่างไร ก็จงยอมรับกับตนเองว่าคุณไม่เข้าใจ
- หากคุณไม่รู้เรื่องและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ก็จงเงียบ แต่จงอยู่ที่นั่น
- ยอมรับว่าความคิดหลายอย่างของคุณเกี่ยวกับโรคจิตเวชตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อผิดๆ และการวาดภาพอย่างไม่ตรงความเป็นจริงของวัฒนธรรมสมัยนิยม
- หาข้อมูลที่ดีขึ้น อ่านหนังสือ เข้าอบรมสัมมนาองค์กรที่ทำงานเพื่อผู้อยู่กับโรคจิตเวช หรือค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต
- เข้าใจว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาและจงส่งเสริม อย่าไปสกัดกั้น จงอย่าดูเบา เยาะเย้ยการบำบัดรักษาทางการแพทย์ หรือทำให้มันกลายเป็นเรื่องมารซาตานไป
- ต่อต้านการทดลองให้เชื่อว่าคนที่ได้รับการบำบัดรักษาอยู่ได้รับสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างแล้ว แพทย์และนักบำบัดไม่ได้ให้การแนะแนวด้านจิตวิญญาณหรือชุมชนที่มีความรัก
- พยายามมองให้เห็นตนเองในตัวอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ในลักษณะที่ทำให้เกิดกลัวว่าสุขภาพจิตของตนจะมีปัญหา แต่ในลักษณะที่บ่มเพาะความเมตตาและความสัมพันธ์
- แยกแยะว่าอะไรควรกลัวอะไรไม่ควรกลัว ถ้าคนที่อยู่ตรงนั้นคุกคามสวัสดิภาพของตัวเขาเองหรือคนอื่น ก็จงเรียกตำรวจ หาไม่แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
- กำหนดขอบเขตและรักษาขอบเขตนั้นเสมอ คุณไม่ต้องเสียสละสุขภาพของคุณเองและไปอยู่กับอีกคนหนึ่งในสถานที่อันไม่เหมาะสม
- ยอมรับว่าคุณไม่มีคำตอบทุกอย่างและไม่อาจให้ทางออกง่ายๆ ที่เป็นความจริงด้วย
- ถ้าหากคุณไม่ใช่นักวิชาชีพด้านจิตเวช จงยอมรับความจำกัดของคุณ แต่ก็ขอให้ระลึกว่าไม่ต้องมีวุฒิบัตรวิชาชีพก็เป็นมิตร ใจดี และสานสร้างมิตรภาพสนับสนุนกันได้
- เสนอความเป็นมิตร หรือศักดิ์ศรีให้ โดยการจับมือ ยิ้มให้ หรือเป็นเพื่อนก็ได้
ในฐานะสาวกและตัวแทนพระคริสต์ เราได้รับการทรงเรียกให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ เราได้รับการทรงเรียกให้ยื่นมือออกไปหาทนที่ทนทุกข์ ให้อยู่กับเขา ไม่ใช่ถอยหนี เราได้รับการทรงเรียกให้เชื่อว่าไม่มีใครหลุดไกลจนเกินจะหวังได้ ไกลเกินจุดที่พระคุณและความรักของพระเจ้าจะไปถึงได้ พระเจ้าไม่ทรงสิ้นหวังกับบุคคลใด แม้เมื่อเขาเลิกหวังในตนเองแล้ว แท้ที่จริง เราไม่ได้รับการทรงเรียกให้มีคำตอบทุกอย่าง เข้าใจความลับลึกทั้งหมดของชีวิต หรือแก้ไขปัญหาของทุกคน แต่เราได้รับการทรงเรียกให้รัก
(Amy Simpson เขียนหนังสือชื่อ Troubled Minds: Mental Illness and the Church’s Mission (InterVarsity Press). และยังเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Christianity Today’s Gifted for Leadership. พบเธอได้ที่ www.AmySimpsonOnline.com and on Twitter @aresimpson.)