ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3052268221673213&id=100006701943467
บ่อยครั้ง เรามักระบุ ชี้ชัด หรือ ตีตราว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนแบบนั้นแบบนี้ พร้อมกับยกเหตุผล ลักษณะพฤติกรรมของคนๆนั้นมาสนับสนุนประกอบ เป็นการแจะแจงบ่งชี้ทำนาย หรือ คาดว่า คนนั้นคนนี้เป็นคนแบบไหน เป็นคนอย่างไร? เพื่อเราเอง หรือ บอกคนอื่นว่าเราควรระมัดระวังคนๆนั้นอย่างไรบ้าง
แล้วทำไมถึงบอกว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการ “ตีตราคนอื่น” และควรหยุดพฤติกรรมที่ “หวังดี” ดังกล่าว? เพราะ…
เราไม่รู้ถึงส่วนลึกในจิตใจของคนอื่น
พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงล่วงรู้หยั่งลึกลงในจิตใจของมนุษย์แต่ละคน “…องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่าตัดสินจากรูปร่างหน้าตาหรือส่วนสูง เพราะเราไม่ได้เลือกคนนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มองอย่างที่มนุษย์มอง มนุษย์มองรูปลักษณ์ภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามองดูจิตใจ”” (1ซามูเอล 16:7 อมธ.)
นี่หมายความว่า พระวจนะของพระเจ้าและพระองค์เท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ลงลึกถึงจิตใจมนุษย์ “เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ ไม่มีสิ่งใดที่ทรงสร้างไว้จะซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราทั้งหลายต้องกราบทูลรายงาน” (ฮีบรู 4:12-13 อมธ.) พระเจ้าทรงล่วงรู้ถึงทุกความคิด เจตนา และแรงจูงใจ ที่มนุษย์เราไม่สามารถเห็นและหยั่งรู้ลงลึกไปได้ในแต่ละคน.
เราไม่รู้ถึงความเป็นมาทั้งสิ้นในชีวิตของคนอื่น
เมื่อเราพบใครคนหนึ่งเป็นครั้งแรกและได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เราอาจทึกทักว่า ในเมื่อพวกเขาอยู่ในที่ที่ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลความบาป พวกเขาจะต้องเป็นคนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความบาปนั้น เมื่อเพื่อนของโยบพบว่าโยบต้องได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ก็ตีตรากล่าวโทษว่าเพราะโยบได้กระทำผิดในสิ่งต่างๆ ซึ่งโยบไม่ได้กระทำ เพื่อนๆของโยบไม่รู้ถึงเบื้องหลังความเป็นมาในชีวิตของโยบ พวกเขาไม่รู้ว่าโยบได้กระทำสิ่งดีดีมากมาย ซึ่งแท้จริงแล้วโยบเป็นคนที่ชอบธรรมในสังคมโลกในเวลานั้น (อ่าน โยบบทที่ 1)
ดังนั้น เราไม่สามารถกล่าวร้ายตีตราคนอื่นจากสิ่งที่เราเห็นตามเงื่อนไขปัจจุบัน เพราะเราไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังความเป็นมาทั้งสิ้นในชีวิตของเขาคนนั้นในอดีต
เราไม่ได้ล่วงรู้ลงลึกถึงความเจ็บปวด
ในชีวิตของคนอื่น
แท้จริงแล้วไม่ควรจะพูดว่า “ผมเข้าใจคุณ” เมื่อเขาคนนั้นกำลังได้รับความทุกข์ยากลำบาก หรือ โศกเศร้าเพราะการสูญเสีย หรือชีวิตต้องประสบกับโศกนาฏกรรม เราไม่ควรมองเขาคนนั้นแล้วคิดว่า “ฉันรู้อย่างแน่ชัดว่าเขาได้รับความทุกข์ยากเจ็บปวดในชีวิตขนาดไหน” มีเพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ลึกทั้งสิ้นว่าเขารู้สึกเช่นไรถึงชีวิตของเขาในเวลานั้น แล้วเราก็กล่าวอ้างพระคัมภีร์ เช่น โรม 8:28 ที่กล่าวว่า “…เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” แล้วท่านคิดว่าการอ้างถึงพระคัมภีร์เช่นนี้จะช่วยเขามากน้อยแค่ไหน?
เมื่อมีใครบางคนที่ประสบกับความโศกเศร้า เราเพียงแค่ให้การสนับสนุนและแสดงความเสียใจที่เขาต้องทนทุกข์ทรมาน
อย่าคาดคิดว่าตนรู้แล้ว
นี่เป็นจุดอ่อนในตัวผู้นำหลายต่อหลายคน เช่น เมื่อเพื่อนร่วมงานของเขามาร่วมประชุมสาย ผู้นำมักกล่าวตำหนิ หรือ ตักเตือนที่มาประชุมไม่ทันเวลาบนพื้นฐานความเข้าใจว่า “ทำไมเขาถึงมาประชุมไม่ทันเวลา” แต่ก็ต้องอับอายในภายหลังเมื่อเพื่อนร่วมงานคนนั้นมาบอกถึงสาเหตุ หรือ เหตุผลที่แท้จริงของการมาสายครั้งนั้น ผู้นำท่านนั้นน่าจะอ่าน 1โครินธ์ 13:7 ก่อน ที่ว่า “ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ” (อมธ.) ผมไม่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวในพระคัมภีร์ข้อนี้เลย ผมควรปกป้องเพื่อนร่วมงานคนนี้จากความสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาสาย แทนที่จะด่วนกล่าวโทษตีตราว่าเขาทำผิดเพราะมาสาย และนี่คือความหมายที่ผมเข้าใจคำกล่าวของเปาโลที่ว่า “ไว้วางใจเสมอ” เชื่อในสิ่งดีดีในทุกสิ่งของคนที่เราสัมพันธ์ทำงานด้วย และที่สำคัญคือที่เรามักละเลยคือ ความรักปกป้องคุ้มครองคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย
ในชีวิตที่ผ่านมาเราคงเคยตีตราใครต่อใครมากมายหลายคนหลายครั้ง และในหลายครั้งที่ลืมตัวไปว่าเรากำลังตีตราว่าร้ายคนอื่น ต่อมาภายหลังก็พบอยู่บ่อยว่า เราตีตราคนอื่นผิดพลาด หรือ ตีตราคนอื่นอย่างผิดๆ และเราหลายคนที่บอกกับตนเองว่า เราจะไม่ตีตราคนอื่นอีก ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถล่วงรู้ลงลึกในจิตใจของแต่ละคนว่าเขาคิดเขารู้สึกอย่างไร ชีวิตที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนอย่างไร เราไม่รู้ถึงความเจ็บปวดในชีวิตของเขาที่เขาได้รับและต้องทนอยู่ในขณะนี้ และเราไม่รู้ว่าอดีตที่ผ่านมามีอะไรที่หลอกหลอนสร้างความกลัวลานในชีวิตของเขา เราจึงไม่ควรทำตนคาดว่าเรารู้ถึงทุกเรื่องในชีวิตของคนอื่น
ดังนั้น เราควรที่จะหยุดการตีตราว่าร้ายคนอื่น เราสามารถสรรหาปั้นแต่งเหตุผล ที่ใช้สนับสนุนในการตีตราว่าร้ายคนอื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญคือ ฐานเชื่อหลักคิด มุมมองในชีวิต วิธีคิด วิธีตัดสินใจ ระบบคุณค่าของเรา และ ฯลฯ แตกต่างจากคนอื่นๆ แล้วเราจะตีตราว่าร้ายคนอื่นตามสิ่งที่เราเป็นเรามีเราคิดในชีวิตได้หรือ? เป็นการเหมาะสมหรือ?
เอมมาอูส