ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
https://www.facebook.com/prasit.saetang.12/posts/2964967040403332
http://prasitemmaus.blogspot.com/
ศิษยาภิบาลหลายท่านมักบ่นให้ได้ยินว่า สมาชิกมาโบสถ์เกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกประเภท “นั่ง” สมาชิกประเภท “ลุกขึ้น” และ “ลงมือทำ” หาทำยายากในทุกวันนี้
ท่านหมายความว่า สมาชิกที่มาโบสถ์เกือบทั้งหมดมาเพื่อร่วม “พิธีนมัสการพระเจ้า” เท่านั้น แต่ชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับงานพันธกิจคริสตจักร และพันธกิจชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน
คริสตจักรที่ท่านไปร่วมนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เป็นประจำเป็นอย่างไรบ้างครับ?
คริสตจักรที่ท่านเป็นศิษยาภิบาลเป็นอย่างไรบ้างครับ?
สมาชิกที่มาร่วมส่วนมากร่วมนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ได้มีส่วนร่วมในพันธกิจต่างๆของคริสตจักรด้วยหรือเปล่า?
หรือส่วนใหญ่มาร่วมการนมัสการพระเจ้าแล้วก็กลับบ้าน แม้จะจัดให้มีการกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่พอกินเสร็จก็กลับบ้าน แล้วรออาทิตย์หน้ามาโบสถ์ใหม่
เมื่อมีโอกาสพูดคุย ถามไถ่ สัมภาษณ์บรรดาสมาชิกที่มาร่วมนั่งนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์มักจะได้คำตอบว่า นั่นเป็นหน้าที่ของคริสต์ชนทุกคนจะต้องทำ แล้วทำจนเคยชินเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ก็ว่าได้ แต่เมื่อถามและชวนพูดคุยค้นหาว่า ทำไมสมาชิกส่วนใหญ่ถึงมานั่งนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เท่านั้น ไม่ทำพันธกิจอื่นใดอีกเลยทั้งในวันอาทิตย์ และในวันอื่นๆของสัปดาห์ ซึ่งพอจะประมวลคำตอบความคิดเห็นได้ดังนี้ครับ
1. เพราะคริสตจักรยอมและปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้น
คริสตจักรไทยเราส่วนใหญ่มักไม่ได้พูด สอน และอธิบายแก่สมาชิกของตนแต่ละคนอย่างชัดเจนถึงความคาดหวังว่า คริสตจักรคาดหวังให้คริสต์ชนแต่ละคนมีชีวิตแบบไหน คาดหวังให้ทำอะไรที่ต้องทำ และคาดหวังให้เขาเข้าร่วมพันธกิจอะไร อย่างไรบ้าง คงไม่ต้องแปลกประหลาดใจเลยครับว่า ทำไมสมาชิกและคนที่มาร่วมนมัสการพระเจ้าถึงไม่ทำอะไร เอาแต่มาร่วมในการนมัสการพระเจ้าเท่านั้น เพราะใคร ๆ ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน และคริสตจักรก็ไม่มีใครว่าอะไร?
2. สมาชิกกลุ่มนี้บอกว่า ไม่เคยมีใครมาเชิญชวนท้าทายให้พวกเขาเข้าร่วมในงานพันธกิจใดพันธกิจหนึ่งเลย
การประกาศงานบนธรรมมาสน์ หรือ การประกาศงานพันธกิจในท้ายระเบียบการนมัสการพระเจ้าของแต่ละอาทิตย์ไม่ได้เชิญชวนท้าทายผู้คนให้เขาร่วมในพันธกิจเลย แต่เป็นเพียงประกาศให้รู้ว่าคริสตจักรมีงานอื่นอะไรบ้างนอกจากการนมัสการเช้าวันอาทิตย์ เชิญเข้าร่วมตามชอบตามสะดวก ขอเราย้อนกลับไปดูแบบอย่างของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์เรียกผู้คนทีละคนเป็นการส่วนตัว และบอกชัดเจนว่าพระองค์เชิญชวนท้าทายให้เขาเข้ามาร่วมในงานอะไร และพระองค์คาดหวังชีวิตแบบไหนบ้างในชีวิตประจำวันของเขา
3. หมดแรงขาดพลัง
สมาชิกบางคนเหน็ดเหนื่อยจากการทำพันธกิจที่ผ่านมา พวกเขาเพียงต้องการเวลาที่จะพัก และมีการเพิ่มแรงเสริมพลังชีวิตใหม่ เพื่อที่จะสามารถเข้าร่วมในการทำพันธกิจครั้งใหม่ต่อไป ในกลุ่มนี้หลายคนที่ต้องการการอภิบาลฟูมฟักพลิกฟื้นพลังชีวิตใหม่ที่ศิษยาภิบาลต้องไม่มองข้าม มิเช่นนั้น คริสตจักรอาจจะสูญเสียสมาชิกที่แข็งขันในพันธกิจของคริสตจักรก็ได้
4. สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นความจำเป็นสำคัญที่ต้องทำพันธกิจอะไร
สมาชิกที่มาคริสตจักรแล้วนั่งนมัสการพระเจ้าร่วมกับคนอื่น พวกเขาอาจจะไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องการของคริสตจักร เพราะเขาจะมองเห็นในแต่ละวันอาทิตย์ว่า ดูงานทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีคล่องตัว ไม่มีใครพูดกับเขาว่าคริสตจักรต้องการและจำเป็นในเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้น สมาชิกกลุ่มนี้จึงมาเพียงร่วมในการนมัสการเท่านั้น การที่จะให้สมาชิกแต่ละคนเข้ามาร่วมรับผิดชอบในพันธกิจต่าง ๆ นั้น ต้องเป็นการเชิญชวนแบบตัวต่อตัว เป็นการเชิญชวนท้าทายเป็นการส่วนตัวจากคริสตจักร
5. สมาชิกส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่าตนจะได้รับการหนุนเสริมให้ทำพันธกิจจนสำเร็จ
สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้อาจจะเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อตนเข้าไปร่วมทำพันธกิจ กลับถูกปล่อยลอยแพให้ทำพันธกิจไปด้วยตนเองเท่านั้น ขาดการอธิบาย สอน ฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติและติดตามหนุนเสริมการทำพันธกิจนั้นให้สามารถทำอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผล สมาชิกกลุ่มนี้จึง “กลัว” ที่จะถูกลอยแพให้เข้าไปทำพันธกิจเองอย่างไม่ได้รับการหนุนเสริมจากคริสตจักร
6. บางคนในกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าตนเชื่ออะไร
แม้ว่าเขาอาจจะเป็นสมาชิกคริสตจักรมายาวนาน เขาอาจจะเติบโตในครอบครัวคริสต์ชนในหลายชั่วอายุคน แต่เขาไม่ได้รับการบ่มเพาะ วางรากความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าตนเชื่ออะไรในชีวิต รู้เพียงว่าตนเองเป็นคริสต์ชนต้องมานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เท่านั้น ในกรณีนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักรและศิษยาภิบาลจะต้องใส่ใจ ทุ่มเท ที่จะเสริมสร้าง วางรากฐานความเชื่อของสมาชิกแต่ละคนก่อนว่า ที่ตนเป็นคริสต์ชนนั้น ตนเชื่อและวางใจในเรื่องอะไรบ้าง และตนจะต้องมีความเชื่อที่รับผิดชอบต่อการทรงเรียกของพระเจ้า และพระบัญชาของพระองค์ในเรื่องอะไรบ้าง
7. สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้มีกิจการงานมากมาย
สมาชิกกลุ่มนี้เป็นสมาชิกที่มีกิจการงานรับผิดชอบมากมาย ถึงแม้มีพันธกิจมากมายในคริสตจักรแต่พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเจียดให้ได้ การที่จะเชิญชวน มอบหมาย หรือท้าทายให้เขาทำพันธกิจบางอย่างดูจะเป็นไปไม่ได้ หรือ ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี ข้ออ้างของสมาชิกกลุ่มนี้คือ เขาเห็นความสำคัญของพันธกิจดังกล่าว แต่ตนเองยุ่งมากไม่มีเวลาที่จะมาช่วยได้ คริสตจักรและศิษยาภิบาลอาจจะจำเป็นที่ต้องพิจารณาถึงการเสริมสร้างความเชื่อและความเข้าใจถึง “เป้าหมายชีวิต” ของคริสต์ชนนั้นคืออะไรกันแน่!
8. ชีวิตของสมาชิกบางคนในกลุ่มนี้ถูกครอบงำควบคุมด้วยอำนาจความผิดบาป
สำหรับคนที่ตกอยู่ใต้การครอบงำของอำนาจความบาปผิด คงยากที่จะเปิดตัวเปิดใจรับใช้พระเจ้า พวกเขาคงเลือกที่แฝงตัวเงียบ ๆท่ามกลางกลุ่มสมาชิก หรือ รอจังหวะฉกฉวยผลประโยชน์และอำนาจในคริสตจักรเท่านั้น
9. สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้ไม่เคยอ่านและเข้าใจถึง 1 โครินธ์ บทที่ 12
น่าคิดว่า บ่อยครั้งเมื่อสมาชิกเริ่มมีความเข้าใจถึงของประทานของพระเจ้าในชีวิตของแต่ละคน และการทำงานพันธกิจร่วมกันแบบประสานหนุนเสริมเฉกเช่นร่างกายเดียวกัน ผู้คนจะเริ่มมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาร่วมทำพันธกิจแบบอวัยวะของร่างกายทำงานร่วมกัน ดังนั้น คริสตจักรต้องใส่ใจที่จะสอนและเสริมสร้างสมาชิกให้ทำงานร่วมกันแบบหนุนเสริมกันและกัน
10. ไม่มีใครอธิษฐานทุ่มเท เจาะจง และจริงจังสำหรับคนที่จะทำพันธกิจ
พระเยซูคริสต์บอกสาวกที่ทำการเก็บเกี่ยวให้อธิษฐานทูลขอพระเจ้าประทานให้มีคนทำงานมากขึ้น (ลูกา 10:1-2) เมื่อคริสตจักรของเรามิได้ยึดมั่นเหนียวแน่ในการอธิษฐานอย่างใส่ใจและตั้งใจ และการอธิษฐานมิได้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์งานพันธกิจของเรา ก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะมีคนงานสำหรับพันธกิจในคริสตจักรเพิ่มมากขึ้นในคริสตจักรของท่าน มีสาเหตุอะไรบ้างที่ค้นหาสมาชิกคริสตจักรที่ทำพันธกิจของพระเจ้าได้ยากเย็นเข็ญใจครับ?
https://www.facebook.com/prasit.saetang.12/posts/2964967040403332