
ศจ.ดร.วิเชียร วัฒกีเจริญ
ความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหลุมพรางก็คือ คุณจะไม่รู้เลยว่าหลุมพรางอยู่ที่นั่นจนกระทั่งคุณตกหลุมพรางนั้นเสียแล้ว คนที่วางกับดักไว้ก็มิได้มีป้ายบอกไว้ว่า นี่คือกับดัก “ระวังอย่าเข้าใกล้ อันตราย”
อย่าลืมว่าชีวิตเต็มไปด้วยหลุมพราง หลุมพรางบางอย่างนำเราไปสู่ปัญหาที่หนักหนาสาหัสได้ และบางอย่างอาจจะทำให้ถึงตาย การเป็นคริสเตียนที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนโง่เขลาเหมือนที่หลายคนคิด แท้ที่จริงกลับตรงกันข้าม ถ้าคุณจะเป็นคริสเตียนที่ดี คุณจำเป็นต้องมีปัญญา ถ้าอย่างนั้น ปัญญาคืออะไร? คือรู้ว่าหลุมพรางในชีวิตอยู่ที่ไหน และจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร แต่คนมากมายในวันนี้ก็ต้องการจะรู้ว่า สิ่งที่เขาจะทำนั้นถูกหรือผิด พวกเขาต้องการรู้เพียงว่า เป็นการฉลาดหรือโง่เขลาที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความจริงมีอยู่ว่า สิ่งที่ถูกต้องมักเป็นสิ่งที่ฉลาดและสิ่งที่ผิดมักเป็นเรื่องโง่เขลา
ส่วนมากพวกเราอยากให้คนอื่นคิดว่าเราเป็นคนดี สิ่งหนึ่งในชีวิตที่เลวร้ายที่สุดเห็น จะได้แก่ “การเสียหน้า” ความปรารถนาที่จะเป็นที่ชื่นชอบเครารพชอบพอ และเป็นที่อิจฉาของคนอื่นนั้น เป็นแรงผลักดันขั้นพื้นฐานที่มีพลังในตัวของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม สามารถทำให้เราพูดปด โกง ขโมย และแม้แต่ฆ่า เราไม่สามารถจะเมินเฉยต่อสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเราได้ทั้งหมดก็จริง แต่เราสามารถคลุมความติดของเราด้วยสิ่งที่พระเจ้าทรงคิดเกี่ยวกับเรามากกว่าสิ่งที่ผู้อื่นคิด ความยำเกรงพระเจ้านี่แหละที่เริ่มต้นของปัญญา
ปัญหาหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของคริสเตียน และที่น่าเศร้าคือที่สุดก็ถึงทางต้องหย่าร้าง หรือไม่ก็ต้องแตกแยกกัน เรื่องที่สำคัญมากก็คือเรื่องการเงินของคู่สมรสที่มีเรื่องระหองระแหงกันอยู่เสมอ เพราะสามีภรรยาไม่ได้วางใจกันต้องแบ่งแยกเงินกันคนละถุง ทำให้ความคิดเห็นแก่ตัวเองเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ แน่นอนสำหรับคริสเตียนเราจำเป็นต้องพึ่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลัก และเรากำลังพิจารณาในพระธรรมสุภาษิต ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้เขียนขึ้นเพื่อเตือนสามีภรรยาให้ระวังเรื่องนี้
สุภาษิต 1:14 “มาเข้าร่วมกับเราสิ จะได้ร่วมเงินเกระเป๋าเดียวกัน”
พระธรรมสุภาษิตสอนเราเรื่องการเงินในชีวิตครอบครัว มีหลายบทและหลายข้อ ขอนำข้อที่สำคัญ ๆ มาอ้างอิง เช่น สุภาษิต 31:20 “เธอหยิบยื่นให้คนยากจน เธอยื่นมือออกช่วยคนขัดสน” และ สุภาษิต 31:28 “ลูก ๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ” สุภาษิต10:22 “พระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย”, สุภาษิต7:19 เพราะผัวของฉันไม่อยู่บ้านเขาไปทางไกล และนางหว่านล้อมด้วยวาจาโอ้โลม นางบังคับเขาด้วยคำพูดพะเน้าพะนอ สุภาษิต11:4 “ความมั่งคั่งไม่อำนวยกำไรในวันทรงพระพิโรธ แต่ความชอบธรรมช่วยกู้ให้พ้นความมรณา”, สุภาษิต 11:16 “สตรีงามสง่าย่อมได้รับเกียรติ และชายหน้าเลือดย่อมมั่งคั่ง” และ สุภาษิต 11:28 “บุคคลผู้วางใจในความมั่งคั่งจะล้มละลาย แต่คนชอบธรรมจะรุ่งเรืองอย่างใบไม้เขียว”, สุภาษิต13:11 “ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กทีละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น” สุภาษิต14:20 “คนยากจนนั้นแม้เพื่อนบ้านของตนก็รังเกียจ แต่คนมั่งคั่งมีสหายมากมาย” และสุภาษิต14:31 “บุคคลผู้บีบบังคับคนยากจน ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่บุคคลที่เอ็นดูต่อคนขัดสนก็ถวายเกียรติแด่พระองค์” สุภาษิต15:16 “มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระเจ้า ดีกว่ามีคลังทรัพย์ใหญ่ แต่มีความลำบากอยู่ด้วย” สุภาษิต16:8 “มีแต่น้อยแต่มีความชอบธรรมก็ดีกว่ามีรายได้มากด้วยอยุติธรรม” และ สุภาษิต19:17 “บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา” เป็นต้น
มีคำพูดกันบ่อย ๆ ว่า สามีเป็นคนจ่าย ภรรยาเป็นคนเก็บ หลายคู่เป็นเช่นนั้นหมายความว่า สามีก็รักษาเงินของเขาแต่คนเดียว ภรรยาก็รักษาเงินของตน ไม่เคยรวมกันเป็นถุงเดียว ทำให้เกิดความสงสัย ระแวงต่อกัน ทำให้ความสัมพันธ์ในบ้านค่อย ๆ เย็นชาไป ที่สุดต้องหย่าร้างหรือไม่ก็ต้องแยกกันอยู่ ความรักหายสูญสิ้น มัทธิว 6:21 “เพราะว่าทรัพย์สินของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” นี่เป็นความจริง เมื่อต่างฝ่ายคิดเรื่องเงินทองของเขา จิตใจก็อยู่ที่เงินทอง ความรักในครอบครัวก็จืดจางลง และทะเลาะวิวาทกัน
ความขัดเคืองเกิดขึ้นไม่ใช่ตัวเงินเป็นหลักใหญ่ แต่เป็นคุณค่าของมันต่างหาก ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้ความสุขในครอบครัวค่อย ๆ จืดจางและหายไป ทำให้ความสัมพันธ์ซึ่งทั้งสองได้สัญญากับพระเจ้าในวันสมรสนั้นหมดสิ้น พระเจ้ามีพระประสงค์ให้การเงินอยู่ใต้การควบคุมของทั้งสอง ไม่ใช่ฝ่ายเดียวเท่านั้น คำว่า เนื้อหนังเดียวกัน มีความหมายมากมาย ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณด้วย เราจะเป็นเนื้อหนังเดียวกันไม่ได้ ถ้าเรายังแยกเงินเก็บไว้กันคนละถุง ไม่ได้รวมกันเป็นถุงเดียวกันในครอบครัว ผลที่เกิดขึ้นมีการต่อสู้กันเรื่องเงินทอง ซึ่งซาตานเป็นฝ่ายมีชัยชนะในชีวิตของสามีภรรยา ดังนั้นเราจำเป็นต้องทราบว่าพระเจ้าทรงพระประสงค์อะไรในเรื่องเงินทองในครอบครัวของเขา
ประการแรก พระเจ้าทรงสนพระทัยในพระพรของพระองค์ที่ประทานให้ครอบครัวของเรา สุภาษิต 10:22 “พระพรของพระเจ้านำมาซึ่งความมั่งคั่ง และมิได้ทรงแถมความทุกข์ร้อนมาด้วย” และใน เฉลยธรรมบัญญัติ 8:18 “ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้” ทรัพย์สมบัติมาจากไหน แน่นอนมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิด พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ เราเป็นผู้รับมอบฉันทะ และพระองค์ทรงเป็นต้นเหตุของทรัพย์สมบัติทั้งหมด
ประการที่สอง เราจะปฏิเสธไม่ยอมให้เงินทองมาเป็นพระเจ้าของเรา แต่บางครั้งเราลืมตัวไปปรนนิบัติเงินทองมากกว่าปรนนิบัติพระองค์ โยบ 31:24-25 และ 28 “ถ้าข้ากระทำให้ทองคำเป็นที่ไว้ใจ หรือพูดกับทองคำนพคุณว่า ท่านเป็นที่วางใจของข้า ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เพราะสมบัติของข้ามากมาย หรือเพราะมือของข้าได้มามาก … นี่เป็นความบาปผิดด้วย ที่ผู้พิพากษาจะต้องปรับโทษ เพราะข้าคงต้องทุจริตต่อพระเจ้าเบื้องบน” เมื่อเราวางใจในเงินทอง มันก็จะควบคุมชีวิตของเรา ธนบัตรของสหรัฐอเมริกามีอักษรพิมพ์ว่า “เราไว้วางใจในพระเจ้า” (in God we trust) แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากเปลี่ยนคำนี้ว่า “เราไว้วางใจในดอลล่าห์” จากการกระทำของพวกเขา ความยุ่งยากเกิดขึ้นมากมายอย่างที่เราทุกคนทราบแล้ว
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ไม่ว่าเงินทองล้วนเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น อย่าลืมว่าเงินทองไม่เคยทำให้เราอิ่มใจ หรือช่วยเราให้พ้นจากบาปได้ ขอพิจารณาดูชีวิตของกษัตริย์ซาโลมอนท่านเป็นมหาเศรษฐีแห่งโลกนี้ ไม่มีผู้ใดร่ำรวยเท่าท่าน แต่เงินทองนั้นไม่เคยช่วยท่านให้พ้นจากบาปได้ มันเป็นของอนิจจังสำหรับท่าน และที่สุดชีวิตของท่านลุ่มหลงไปด้วยสตรีทั้งหลายที่มาจากประเทศต่าง ๆ พวกเขานำพระต่าง ๆ มาในราชวังและชักชวนให้ซาโลมอนหันไปไหว้รูปเคารพชีวิตภายหลังของซาโลมอนล้มลงอย่างไม่คาดคิด
พระธรรมสุภาษิตได้ตักเตือนเรา สุภาษิต 15:17 “มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระเจ้า ดีกว่ามีคลังทรัพย์ใหญ่แต่มีความลำบากอยู่ด้วย” พระธรรมตอนนี้สอนเราให้พึงสังหรณ์ว่า ถ้าเรามีทรัพย์สมบัติมากแต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับภรรยาและครอบครัว ดีกว่าเรามีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับภรรยาหรือครอบครัวของเรา
เงินไม่นำความพึงพอใจเราได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ มันเป็นแต่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่อยู่กับเราตลอดไปเป็นนิตย์ วันหนึ่งเราอาจร่ำรวยแต่พรุ่งนี้เราอาจยากจนลงก็ได้ พระเจ้าประทานเงินทองให้เราเพื่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตของเรา ไม่ได้ให้มาครองชีวิตของเรา
